บทที่สี่
ซูเพียนจื่อพลันบังเกิดอารมณ์วู่วาม อยากจะเอาตำราวิชากลลวงเบื้องต้นที่อยู่ในมือทุบใส่ศีรษะของฝูอวิ๋นแรงๆ เหลือเกิน นางรู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวนี้พึ่งไม่ได้แม้แต่นิดเดียว!
“การสอบย่อยในอีกสามวันข้างหน้าท่านจะเข้าร่วมหรือไม่” ฝูอวิ๋นเห็นนางมีสีหน้าไม่เป็นมิตร จึงรีบเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาอย่างชาญฉลาด
“เข้าร่วมสิ เหตุใดจะไม่เข้าร่วมเล่า ฮึ! การเรียนหนังสือคือจุดแข็งของข้าอยู่แล้ว” ซูเพียนจื่อมั่นอกมั่นใจเต็มที่
ตั้งแต่เล็กนางก็ไม่มีบิดามารดาและญาติพี่น้อง การเติบโตในที่เช่นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้น หากตนเองไม่แข็งแกร่งมากพอก็จะต้องถูกเด็กคนอื่นรังแก ส่วนที่นี่แม้จะได้ชื่อว่าเป็น ‘บ้าน’ ของนาง แต่นางก็รู้ว่าไม่มีใครสักคนที่เห็นนางเป็นญาติ ผู้ที่นางจะพึ่งพาได้ก็มีแต่ตนเองเช่นเดิม
เริ่มต้นจากการสอบย่อยครั้งนี้ก็แล้วกัน นางจะทำให้คนที่ดูแคลนนางเหล่านั้นได้รู้ว่านางเก่งกาจยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก!
เวลาสามวันพริบตาก็ผ่านไป ในที่สุดก็มาถึงวันสอบย่อยแล้ว
เดิมทีซูเจินเจินไม่เต็มใจจะไปเท่าไรนัก แต่เมื่อคิดว่าการขาดสอบมากเกินไปจะทำให้วันหน้าเลื่อนเป็นศิษย์ระดับกลางได้ยากยิ่งกว่าเดิม อีกทั้งซูเพียนจื่อที่เพิ่งมาได้แค่สามวันก็ยังสมัครใจไปสนามสอบ หากตนเองที่เป็นทั้งมือเก่าและ ‘คู่ซี้’ ไม่เป็นเพื่อนไปดูแลสักหน่อยก็แย่เกินไปแล้ว ดังนั้นซูเจินเจินจึงตัดสินใจที่จะไปด้วย
อาชาเทพของสกุลซูมีเยอะจนเกินเหตุจริงๆ แม้กระทั่งศิษย์ระดับต้นชั้นล่างอย่างซูเจินเจินก็ยังมีอาชาเทพตัวหนึ่งรับเป็นนาย ยิ่งไปกว่านั้นอาชาเทพตัวนี้ยังมีสีขาวหิมะตลอดทั้งร่าง น่ามองกว่าฝูอวิ๋นไม่ต่ำกว่าสิบเท่า
เพียงแต่ดวงของมันดีไม่เท่าฝูอวิ๋น เพราะตอนที่มันรับซูเจินเจินเป็นนาย สาวน้อยหน้ากลมคิดถึงซาลาเปาแป้งขาวฝีมือของมารดาขึ้นมาพอดี ดังนั้นอาชาเทพที่งดงามตัวนี้จึงต้องมีนามอันน่าเศร้าว่า…เจ้าซาลาเปา
เมื่อทั้งสองขี่อาชาเทพของตนเหาะไปจนถึงหน้าตำหนักเล็กๆ หลังหนึ่งบนไหล่เขา พวกนางก็พบว่ามีเด็กสาวกับหนุ่มน้อยสิบกว่าคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว เครื่องหมายบนสาบเสื้อของทุกคนล้วนบ่งชี้ว่าเป็นศิษย์ระดับต้น
พวกเขาจับกลุ่มเล็กๆ กระซิบกระซาบกันด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดอย่างยิ่ง
เมื่อเสียงย่ำระฆังดังขึ้น หนุ่มสาวแรกรุ่นสิบกว่าคนนี้ก็เดินเรียงแถวเข้าไปในตำหนัก ซูเจินเจินหน้าซีดขาวขณะจูงมือซูเพียนจื่อเดินตามเข้าไป อารมณ์ที่เขียนอยู่บนใบหน้าของซูเจินเจินนั้นฮึกเหิมปนเศร้าสลด ราวกับกำลังเดินไปสู่ลานประหาร
ในโถงตำหนักนั้นโล่งว่าง มีเพียงโต๊ะเล็กยี่สิบตัวกับเบาะรองนั่งที่เข้าชุดกัน แต่ละคนต่างเดินไปนั่งประจำที่ ซูเจินเจินนั่งอยู่ทางซ้ายมือของซูเพียนจื่อนี่เอง มือของสาวน้อยหน้ากลมกำอยู่ตรงโพยกระดาษที่ซุกมาในแขนเสื้อ อาการร้อนตัวนั้นมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นพวกที่คิดจะโกงสอบ
ช่างเป็นคนซื่อเสียจริง แค่โกงสอบก็ยังเด่นชัดถึงเพียงนี้ แบบนี้แล้วยังคิดจะเป็นสิบแปดมงกุฎอีก ฝันเฟื่องอยู่ชัดๆ
“อีกเดี๋ยวเจ้าเจอข้อไหนที่ไม่รู้ก็มาดูของข้าแล้วกัน” ซูเพียนจื่อพูดให้กำลังใจนางอีกครั้งเสียงเบา
ก่อนหน้านี้ซูเพียนจื่อเคยสอบถามรูปแบบโจทย์ข้อสอบจากซูเจินเจินมาแล้ว รู้สึกว่าไม่มีความยากแต่อย่างใด ทั้งตำราวิชากลลวงเบื้องต้นเล่มนั้นนางก็ท่องได้ขึ้นใจแล้วด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะสอบอย่างไรก็ล้มนางไม่ได้แน่
ซูเจินเจินขานดัง “อ้อ” เพียงคำเดียว ความเห็นแย้งถูกเขียนอยู่บนใบหน้าอย่างปิดไม่มิด…