นางแอบจดจำไว้ในใจ แสร้งทำเป็นพูดด้วยความประหลาดใจ “คุณชายสกุลเหอ ในสมัยเด็กข้ามีสหายคนหนึ่งสกุลเหอ เพียงแต่พลัดพรากจากกันไปหลายปีไม่ได้ติดต่อกันอีก ข้าเห็นคุณชายรูปร่างหน้าตาคล้ายสหายผู้นั้นของข้าอยู่หลายส่วน ขอบังอาจถามคุณชาย ท่านมีนามว่ากระไร”
บุรุษผู้นั้นหลุบตา เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงบอก “ชื่อตัวเดียวว่า ‘ตู๋’ ” จากนั้นก็ดึงสายบังเหียนมาอีกครั้ง แล้วบอก “ทว่าบ้านข้าไม่ได้อยู่ที่เฉาอันเป่ยลู่ คิดว่าคงไม่ใช่สหายเก่าของแม่นาง”
นางแอบท่องชื่อสกุลเขารอบหนึ่ง ส่วนลึกในดวงตากลับมีประกายผิดหวังวาบผ่าน
กระทั่งชื่อตนเองยังต้องคิดก่อนจึงบอก ชื่อนี้ยังจะมีความน่าเชื่อถืออยู่อีกหรือ
ก่อนหน้านี้วันหนึ่ง ตอนอยู่ในหอสุราป๋อเฟิงนางเห็นอย่างชัดเจน บุรุษชุดครามท่าทีเปี่ยมไปด้วยความสูงศักดิ์ผู้นั้นยังฟังคำสั่งของเขา คิดว่าเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิบปีก่อน…
เขาต้องการปิดบังฐานะของตนกับนาง
แต่เขาผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง เพราะเหตุใดจึงคิดจะเดินทางไปชิงโจวตามลำพังคนเดียว
นางจึงพูดขึ้นอีก “ในเมื่อคุณชายไม่ใช่คนพื้นที่เฉาอัน ควรรู้ว่าเส้นทางที่ไปชิงโจวคดเคี้ยววกวนง่ายแก่การหลงทาง ไม่สู้หาใครสักคนไปด้วยกันกับคุณชาย…”
บุรุษผู้นั้นส่ายศีรษะ สีหน้ายังคงแปลกแยกห่างเหิน “นั่นกลับไม่จำเป็น หลายปีก่อนข้าเคยมาแถบเฉาอันเป่ยลู่ ยังจำเส้นทางได้ เพียงแต่ผ่านไปสิบปีแล้ว ถนนหลวงนอกเมืองทางเหนือของชงโจวเมืองแห่งนี้เพิ่มมากขึ้นไม่น้อย เมื่อครู่เห็นแล้วในเวลาอันสั้นไม่อาจยืนยัน ดังนั้นข้าจึงต้องถามแม่นาง”
นางมองเขา พยักหน้าเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นกลับคิดคำพูดอะไรที่จะรั้งเขาไว้อีกสักหน่อยไม่ออก ได้แต่มองเขากล่าวขอบคุณแล้วหมุนตัว กุมบังเหียนขึ้นหลังม้า
เขาจะสะบัดแส้ มือกลับชะงักค้าง จากนั้นก็หันหัวม้ากลับมา ก้มลงมองนาง “แม่นางดูออกจะคุ้นหน้า”
นางสะท้านไปทั้งร่าง
เขานึกขึ้นมาได้แล้วหรือ คืนฝนตกเมื่อสิบปีก่อน…
เขามองๆ นางอีก กล่าวว่า “เมื่อวานได้พบกันที่หอสุราป๋อเฟิงใช่หรือไม่”
นางหลุบตาลง ในใจหมดเรี่ยวแรงไปแล้ว แต่ยังคงพยักหน้า
เขาเหยียดร่างบนหลังม้า มองประเมินนางอย่างจริงจังคราหนึ่ง “ในเมื่อมีวาสนาต่อกันเช่นนี้ ขอบังอาจถามชื่อสกุลของแม่นาง”
“เมิ่งถิงฮุย”
นางเงยหน้าขึ้นมองเขา กล่าวทีละคำ
“เมิ่งถิงฮุย”
เขากล่าวทวนรอบหนึ่ง จากนั้นเอียงตัวไป “ข้าจำได้ แม่นางเป็นศิษย์สำนักศึกษาสตรีชงโจว ยังหวังว่าแม่นางจะไม่ผิดต่อความตั้งใจดีของฮ่องเต้ที่ทรงสร้างสำนักศึกษา ตั้งใจเล่าเรียนสอบเคอจวี่ บางทีวันหน้ายังอาจมีวาสนาได้พบเจอกันอีก”
นางเห็นครั้งนี้เขาจะไปจริงๆ แล้วก็รีบเอ่ยปากขึ้น “ในเมื่อคุณชายเหอกล่าวเช่นนี้ คิดว่าบ้านคงอยู่ที่เมืองหลวงกระมัง”
เขาไม่ได้หมุนตัวมา เพียงพยักหน้าน้อยๆ
แขนยาวเงื้อแส้ขึ้นแล้วหวดลงบนสะโพกม้า
เสียงร้องต่ำๆ ของม้าดังแหวกเสียงลมบางเบารอบตัว ฝุ่นเหลืองปลิวคละคลุ้งขึ้นมาตามกีบเท้าม้า พุ่งตรงไปยังถนนหลวงที่อยู่ห่างออกไป
เมิ่งถิงฮุยเพิ่งผลักประตูห้องให้เปิดออกก็ถูกเหยียนฟู่จือคว้าตัวเดินเข้าไป จากนั้นได้ยินประตูถูกถีบปิดตามหลัง ขณะที่ตนเองยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกกดร่างลงบนเก้าอี้แล้ว
นางย่นหัวคิ้ว พูดด้วยความประหลาดใจ “ท่านมาทำอะไรที่ห้องข้า”
เหยียนฟู่จือยังไม่นั่ง เพียงมองนางจากที่สูงกว่า ครู่หนึ่งจึงบอก “เมื่อวานตอนอยู่หอสุราป๋อเฟิง เจ้าเห็นบุรุษชุดดำลงบันไดไป เพราะเหตุใดต้องไล่ตามไปด้วย”
เมิ่งถิงฮุยนวดๆ แขน นางลุกขึ้นมาไล่คน พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก “เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับท่าน”
เหยียนฟู่จือถูกนางผลักมาถึงหน้าประตู กลับเกาะขอบประตูไว้ไม่ยอมออกไป พลันหัวเราะเสียงประหลาดบอก “เมิ่งถิงฮุย เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเขาคือใคร”
เมิ่งถิงฮุยชายตามองนางไม่ส่งเสียง เพิ่มแรงมือผลักอีกฝ่ายออกไปหนักขึ้น
เหยียนฟู่จือยังคงไม่ยอมเลิกรา ร้องขึ้นอีก “เจ้าบอกความลับนั้นของเจ้ากับข้า ข้าก็จะบอกเจ้าว่าเขาคือใคร!”
เมิ่งถิงฮุยสีหน้าเย็นชา “ข้ารู้แล้วว่าเขาชื่อใดสกุลใด ไม่จำเป็นต้องให้ท่านบอกข้า”
เหยียนฟู่จือประหลาดใจ “เจ้า…เจ้ารู้ชื่อสกุลของเขาจริงหรือ”
เมิ่งถิงฮุยออกแรงผลักเหยียนฟู่จือไปที่ประตู สีหน้าไม่พอใจมากขึ้น “ข้าจะอ่านหนังสือแล้ว”
ตั้งแต่เล็กจนโตเมิ่งถิงฮุยไม่เคยชินต่อการถูกคนบีบบังคับเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…เขาคือเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกไว้บนส่วนที่อ่อนนุ่มบอบบางที่สุดในส่วนลึกของหัวใจ นางเฝ้ารอ เฝ้าคอย เพียงหวังว่าวันหนึ่งเมล็ดพันธุ์นั้นจะแตกหน่อและผลิดอก แต่ไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นมาแตะต้องง่ายๆ
“ช้าก่อน…เจ้าช้าก่อน!” เหยียนฟู่จือติดอยู่ที่ธรณีประตู พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าเจตนาดีกลับถูกเห็นเป็นดังตับและปอดของลา! เจ้าไม่อยากพูดถึงเขาก็ช่างเถิด แต่หากเรื่องเกี่ยวข้องกับการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ครั้งนี้เจ้าคงต้องฟังกระมัง”