ทางเดินเล็กนอกเมืองคดเคี้ยวเต็มไปด้วยฝุ่นละออง สายลมยามเช้าพัดโชยมา พาให้คนเดินรู้สึกเย็นสบาย
เมิ่งถิงฮุยหยุดลงที่หน้าวัดร้างเก่าแก่แห่งหนึ่ง นางก้มลงปัดกวาดฝุ่นหนาบนขั้นบันไดออก จากนั้นก็นั่งลง ไป หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ร่างกึ่งเอนพิงไปที่เสาไม้สกปรก แล้วก้มหน้าลงอ่านหนังสือ
ดวงอาทิตย์ยามเช้าสีแดงก่ำ เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นทางทิศตะวันออก สาดแสงอบอุ่นบางเบาลงมาเหนือศีรษะของนาง รู้สึกสบายจนคนอดถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่ได้
สถานที่แห่งนี้เงียบวิเวก แต่ส่วนลึกในใจกลับรู้สึกปลอดภัย
ข้างหูคล้ายมีเสียงเคาะระฆังไหว้พระดังแว่วมา ก็คล้ายกับทุกๆ เช้าเมื่อหลายปีก่อน…หากไม่ใช่เพราะคำสั่งของราชสำนักที่ออกมาอย่างฉับพลันกะทันหันในปีนั้น บางทีนางอาจจะอยู่ในอารามชีไปตลอดชีวิตก็ได้
แต่ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของราชสำนักในปีนั้น ชั่วชีวิตนี้นางอาจไม่ได้พบคนผู้นั้นเลยก็เป็นได้
บริเวณที่ว่างบนหน้าหนังสือถูกนางเขียนตัวอักษรหวัดๆ ไว้เต็มไปหมด ตัวอักษรเล็กๆ เท่าหัวแมลงวันเวลานี้มองดูแล้วทำให้คนรู้สึกง่วงงุน นางรวบๆ เสื้อ แล้วหลับตาพักผ่อน
ฉับพลันมีเสียงฝีเท้าม้าดังแว่วมาจากที่ไกล แล้วค่อยๆ ดังขึ้น ก่อนหยุดลง
นางอดลืมตาขึ้นมาไม่ได้ มองไปข้างหน้าอย่างอยากรู้อยากเห็น ไม่รู้มีใครขี่ม้าออกจากเมืองเช้าเพียงนี้ มายังสถานที่เช่นนี้
ห่างออกไปหลายสิบจั้งริมถนนหลวงมีฝุ่นปลิวคลุ้งจางๆ คนผู้หนึ่งขี่ม้าอยู่ที่ปากทางแยกเตร่ไปเตร่มา ผ่อนสายบังเหียนลง คล้ายไม่รู้ควรเลือกไปเส้นทางใดดี
นางหรี่นัยน์ตามองอยู่นาน ขณะนั้นก็พลันตื่นตระหนก ลุกพรวดขึ้นยืน
เขา…
เหตุใดจึงเป็นเขาได้!
สมองของนางไม่ทันได้ขบคิดสองขากลับวิ่งไปข้างหน้าหลายก้าวตามสัญชาตญาณ เท้าเริ่มอ่อนแรงขึ้นมาเป็นระลอก
เมื่อครู่ยังคิดถึงเขาอยู่ เวลานี้เขาถึงกับมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้านางจริงๆ!
คนผู้นั้นหมุนตัวมาพอดี มองมาทางด้านนี้ หลังจากเห็นนางก็ลังเล จากนั้นเตะท้องม้าเหยาะย่างเข้ามา
แผงคอสีดำของม้ายาวและมันวาว สาดประกายวิบวับภายใต้แสงอาทิตย์ราวกับโลหะ ทำให้นางเห็นแล้วเพียงรู้สึกตาลาย
ขณะยังไม่ได้สติกลับคืนมา ม้าตัวนั้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้านางแล้ว พริบตาถัดมาคนผู้นั้นก็พลิกตัวลงจากหลังม้ามายืนอยู่เบื้องหน้านางอย่างมั่นคง
“แม่นาง” ลูกนัยน์ตาของเขาเปล่งประกายระยิบระยับ เสียงทุ้มต่ำ “ขอถามสักหน่อย เส้นทางที่จะไปชิงโจวใช่เส้นทางด้านซ้ายนี้หรือไม่”
นางมองใบหน้าที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอย ใบหน้าดวงนี้…
“แม่นาง” น้ำเสียงของบุรุษผู้นั้นเปลี่ยนเป็นลังเลเล็กน้อย
นางได้สติ ในใจคล้ายมีเส้นด้ายจำนวนนับไม่ถ้วนพันกันยุ่งเหยิง ความเฉลียวฉลาดที่เคยมีในช่วงปกติยามนี้กลับหายไปหมดสิ้น ครู่หนึ่งนางจึงตอบ “…ขอข้าดูก่อน”
บุรุษผู้นั้นทำตามที่นางบอก เบี่ยงตัวเปิดทางให้
นางก้าวไปข้างหน้าเดินผ่านเขาไป ตอนหันหลังให้ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง รู้สึกในใจเย็นโล่งขึ้นมาบ้าง สมองปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง จึงทำท่ามองจากทางแยกไปยังที่ไกลออกไป จากนั้นก็หมุนตัวกลับมามองเขา ยิ้มน้อยๆ บอก “ขอบังอาจถามคุณชาย ท่านไปทำอะไรที่ชิงโจวหรือ”
เขาคิดไม่ถึงว่านางจะย้อนถาม สายตาจับนิ่งที่ใบหน้านางครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “ไปเยี่ยมญาติห่างๆ ครอบครัวหนึ่ง”
นางมองเขา ในใจรู้ดีแปดส่วนว่าเขาต้องโกหกนาง กลับยังคงยิ้มน้อยๆ บอก “ในเมื่อไปเยี่ยมญาติห่างๆ เช่นนั้นก็ไปตามเส้นทางด้านขวาเถิด”
คิ้วเฉียงของบุรุษเลิกขึ้นเล็กน้อย “ฟังจากน้ำเสียงของแม่นาง เส้นทางทั้งสองสายนี้ล้วนไปถึงชิงโจวได้?” ครั้นเห็นนางพยักหน้า เขาจึงถามต่อ “เพราะเหตุใดถ้าไปเยี่ยมญาติห่างๆ จึงควรไปเส้นทางด้านขวา เส้นทางสองสายนี้มีอันใดแตกต่างกัน”
นางเม้มริมฝีปาก สายตาไม่ละจากใบหน้าของเขา “เส้นทางด้านซ้ายแม้จะเป็นทางลัด แต่กลับแคบอันตราย เดินทางลำบาก เส้นทางด้านขวาแม้จะกว้างราบเรียบ แต่กลับต้องอ้อมเส้นทางบนภูเขาไปไกลโข ในเมื่อคุณชายจะไปเยี่ยมญาติห่างๆ คิดว่าคงไม่รีบร้อน ดังนั้นข้าจึงบอกให้คุณชายเดินทางไปตามเส้นทางด้านขวา”
บุรุษผู้นั้นเงยหน้ามองไปทางภูเขาที่อยู่ไกลออกไป หัวคิ้วขยับเข้าหากันน้อยๆ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงต่ำ “ขอบคุณแม่นาง” จากนั้นก็จูงม้าเดินไปยังเส้นทางด้านซ้าย
นางมองเงาด้านหลังของเขา หัวใจเต้นตึกตัก
ไม่คิดไม่ฝันว่าสวรรค์จะเมตตานางเช่นนี้ ให้นางมีโอกาสได้พูดจากับเขามากเพียงนี้!
แต่นางไม่อยากให้เขาหันหลังให้นางและจากไปเช่นนี้อีกครั้งเลย แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามก็ไม่ได้ทิ้งไว้
ในเมื่อสวรรค์เมตตานางเช่นนี้ นางจะพลาดโอกาสไปอีกครั้งได้อย่างไร
“คุณชาย!”
นางวิ่งไปข้างหน้าหลายก้าว เรียกเขาไว้
เขาหันหน้ามา “แม่นางยังมีเรื่องอันใดหรือ”
นางยืนมั่นคง ประสานมือไปข้างหน้า จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงเบา “ขอถามสกุลสูงส่งของคุณชายได้หรือไม่”
บุรุษผู้นั้นคลายมือจากสายบังเหียนม้า ตอบอย่างรวดเร็ว “เหอ”
ช่างเป็นคนสงวนคำพูดดุจทองคำ