บทที่ 135
โม่เป่ยอยู่ติดกับดินแดนทางทิศตะวันตก มีขบวนพ่อค้าต่างๆ ผ่านไปมามากมาย เครื่องเทศจึงมีครบครัน ดังนั้นกระดูกตุ๋นน้ำปรุงรสจึงอร่อยอย่างยิ่ง รสชาติกลมกล่อมพอดี อีกทั้งภายนอกยังมีมันสีแดงสดเคลือบอยู่ด้านบน
หานเยียนนำหลอดเงินสองหลอดมาให้เจ้านายใช้ดูดไขกระดูก เพื่อแก้เลี่ยนห้องครัวยังจัดผักสดตามฤดูกาลมาหั่นฝอย ราดด้วยน้ำราดงารสเค็ม นอกจากนี้ยังมีหมั่นโถวแป้งเกาลัดร้อนๆ ลูกเล็กๆ สองเข่ง ซึ่งไส้ข้างในเป็นไส้พุทราแดงที่โม่เซี่ยวเหนียงชอบ กินคู่กับน้ำแกงไข่น้ำฟักเขียวเคี่ยวกับกุ้งแดง
หลังปรนนิบัติกระดูกสันหลังของต้าฉินให้กินกระดูกแล้ว โม่เซี่ยวเหนียงก็ค่อยๆ กินทีละคำอย่างเอร็ดอร่อย
อาจเพราะทารกในครรภ์เริ่มเติบโตขึ้น โม่เซี่ยวเหนียงจึงยิ่งกินเก่ง แต่พอกินหมั่นโถวไปได้ครึ่งเข่งฮั่วสุยเฟิงก็ยกจานออกไป
“กินต่อไม่ได้แล้ว หลายวันก่อนหมอกำชับไว้ว่าหากช่วงเดือนท้ายๆ ของการตั้งครรภ์กินมากเกินไป ทารกจะตัวใหญ่ ทำให้คลอดยาก” ฮั่วสุยเฟิงมองโม่เซี่ยวเหนียงที่ยังอยากแทะกระดูกพลางเกลี้ยกล่อมอย่างอ่อนโยน
ในสังคมโบราณไม่มีการผ่าคลอดและไม่มีการระงับอาการปวดระหว่างคลอด ดังนั้นการคลอดบุตรจึงเปรียบเสมือนการผ่านประตูผี
เมื่อฮั่วสุยเฟิงพูดเช่นนี้ โม่เซี่ยวเหนียงจึงหยุดกินทั้งที่ยังไม่สาแก่ใจ ปล่อยให้เขาใช้ฝักเจ้าเจี่ยวและน้ำอุ่นล้างมือให้ จากนั้นก็ตามฮั่วสุยเฟิงไปเดินเล่นที่สวนในจวนเพื่อช่วยย่อยอาหาร
เมื่อเทียบกับขุนนางคนอื่นที่แตกตื่นวุ่นวายจนบ้านแทบแตกแล้ว ฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องดูเหมือนจะว่างจนแทบไม่มีอะไรทำ
แม้ช่วงนี้ราชวงศ์และเหล่าขุนนางจะวุ่นวายกับการย้ายเมืองหลวงไปยังเมืองเฟิ่ง แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฮั่วสุยเฟิงมากนัก
เพราะมีขุนนางสกุลเซียวที่เก่งกาจทั้งบ้าน เขาผู้เป็นขุนนางชายแดนจึงไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวจนเป็นการแย่งผลงานของสกุลเซียว
ทว่าการย้ายเมืองหลวงต้องใช้เงิน แม้เซียวเยวี่ยเหอไม่อยากให้ฮั่วสุยเฟิงโดดเด่น แต่ก็หวังว่าเขาจะยอมควักเงินเพื่อแสดงความจงรักภักดี
เช้านี้เซียวเยวี่ยเหอพาขุนนางอาวุโสสี่ห้าคนมาที่จวนโม่เป่ยอ๋องอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน และนั่งอยู่เกือบครึ่งค่อนวัน
โม่เซี่ยวเหนียงไม่ได้ออกมาปรากฏตัว แต่ได้ยินจากบ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ในห้องโถงด้านหน้าว่าที่ปรึกษาสกุลเซิ่งที่เซียวเยวี่ยเหอพามาด้วยนั้นร้ายกาจยิ่ง อ้างตำราพูดจาอย่างมีหลักการ ทำเหมือนว่าหากจวิ้นอ๋องไม่ควักเงินก็เท่ากับเป็นคนเลวที่ไม่เคารพฮ่องเต้
แต่จวิ้นอ๋องกลับไม่พูดอะไรทั้งสิ้น และไม่เรียกบ่าวไพร่ให้ยกชามาด้วย ปล่อยให้ที่ปรึกษาและเหล่าขุนนางอาวุโสพูดจนคอแห้ง จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมของตนออก เผยให้เห็นเสื้อด้านในเก่าๆ ที่โม่เซี่ยวเหนียงเคยเย็บซ่อมแซมให้ช่วงสงคราม ซึ่งบริเวณรักแร้ที่ขาดไปนั้นยังมีรอยปะชุนอยู่ด้วย
จวิ้นอ๋องกล่าวขึ้นราวกับติดอยู่ในห้วงทะเลแห่งความทุกข์ที่กว้างใหญ่จนกลับฝั่งไม่ได้ เขากล่าวว่าโม่เป่ยต้องเผชิญสงครามติดต่อกันมาหลายปี เบี้ยหวัดทหารก็ต้องอาศัยสตรีในบ้านตนประหยัดอดออมคิดคำนวณให้ เสื้อผ้าชุดนี้ก็เป็นชุดที่ภรรยาของเขาเย็บแก้ให้ใหม่ด้วยตนเอง และเขาก็สวมใส่เช่นนี้มาโดยตลอด
ราชวงศ์ลี้ภัยมายังโม่เป่ย การซ่อมแซมจวนทุกแห่งและการจัดหาที่อยู่ให้ชนชั้นสูงทั้งหลายนั้นล้วนต้องใช้เงินของเขาเอง ทั้งโม่เป่ยในตอนนี้ถูกขูดรีดจนไม่มีอะไรเหลือแล้ว แม้แต่จวิ้นอ๋องผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขายังต้องใส่เสื้อที่มีรอยปะชุน แล้วชาวบ้านธรรมดาจะไปเหลืออะไร
สุดท้ายฮั่วสุยเฟิงก็กล่าวว่า “แม้ขุนนางและราษฎรของโม่เป่ยจะมีใจจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ แต่ก็อุทิศตนทำงานอย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่สามารถหาเงินมาได้เพียงพอ ขอให้พวกท่านทั้งหลายไปหาเงินกันที่อื่นเถิด”
เพราะเหล่าขุนนางกลุ่มนี้ถูกเซียวเยวี่ยเหอเรียกรวมตัวหลังประชุมเช้าจนไม่มีใครได้ทันเตรียมตัว จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าจวิ้นอ๋องจงใจใส่เสื้อผ้าเก่าแสร้งทำตัวน่าสงสาร อีกทั้งเรื่องที่เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดระหว่างอยู่ในค่ายทหารก็เป็นที่รับรู้กันทั่วในราษฎรท้องถิ่น ชายาจวิ้นอ๋องเองก็ใช้ชีวิตอย่างตระหนี่ถี่เหนียวจนเหล่าสตรีในเมืองแย่งกันเลียนแบบ
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจบีบบังคับให้ครอบครัวที่ตกอับต้องเสียสละได้อีก!