“ใช่สิ แกขอได้ครั้งเดียว” เสียงนั้นติดจะรำคาญ “นี่แกใช้พรวิเศษย้อนเวลาได้ครั้งเดียวในชีวิตย้อนกลับไปดูหวยที่ออกงวดที่แล้วเนี่ยนะ ซื้อหวยสองตัวได้มาสองพัน คุ้มไหมเนี่ยกับพรวิเศษครั้งเดียวในชีวิตของแก”
ครั้งเดียวในชีวิต?
“ไม่ได้ ต่อให้คืนนี้มีดาวตกอีกแกก็ขอไม่ได้แล้ว ฉันก็ย้ำนักย้ำหนาแล้วไงว่าจะขออะไรก็ให้คิดให้ดีเสียก่อน อย่าทำอะไรเล่นๆ”
ขอพรต่อหน้าดาวตก?
“แกไม่ได้ย้อนเวลากลับไปจริงๆ แค่อดีตที่แกขอจะเปลี่ยนไป แล้วจะส่งผลมาถึงปัจจุบันด้วย เหมือนอย่างที่แกขอให้รู้ว่าหวยจะออกเลขอะไร แกก็ไม่ได้ไปโผล่ในอดีตจริงๆ แกแค่รู้ว่าหวยจะออกเลขอะไร แล้วแกก็ไปซื้อ จนได้เงินมาเพิ่มในกระเป๋าสองพันตอนที่แกขอเสร็จแล้ว”
ย้อนเวลากลับไปแก้อดีต?
“ฉันจะไปรู้แกเหรอว่าทำไมแกถึงซื้อแค่ใบเดียว แกอาจจะหาซื้อไม่ได้ ไม่ชอบเล่นการพนัน หรือไม่ก็ไม่เชื่อโพยหวยที่ตัวเองหามาได้ก็ได้ ทั้งหมดมันจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ”
เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ?
“ทำใจเถอะ” เสียงนั้นเหมือนจะเปลี่ยนเป็นปลอบใจ “แกขอได้แค่ครั้งเดียว ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป อย่างน้อยแกก็ได้เงินมาสองพัน”
มือที่กำลังจับโทรศัพท์ของฉันสั่นน้อยๆ ภาพหน้าจอที่เป็นรูปสถาปัตยกรรมงดงามนั่นเหมือนจะร้องเรียกอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่อยู่ท่ามกลางความสับสนไม่เข้าใจตีกันไปตีกันมาเละเทะในหัวสมองเต็มไปหมด ย้อนเวลาตอนอายุเบญจเพสอย่างนั้นหรือ โลกนี้มีสิ่งมหัศจรรย์แบบนั้นอยู่จริงหรือเปล่านะ
“คุณคะ”
ฉันตัดสินใจเปิดประตูออกไปพร้อมกับคำถามที่อื้ออึงอยู่ในหัวเต็มไปหมด แต่ก็ว่างเปล่า ผู้หญิงเจ้าของเรื่องราวแปลกประหลาดนั่นหายไปแล้ว อ่างล้างมือยังคงเปียกชื้น ประตูยังคงสั่นไหว เหมือนเธอเพิ่งจะหายไปเมื่อครู่นี้เอง ฉันรีบเดินตามออกไปแต่ก็พบกับทางเดินที่ว่างเปล่า เชื่อมต่อไปได้หลายทิศทาง ไม่รู้ว่าจะไปหาคำตอบที่แสนพิศวงนั้นได้จากที่ใด
“พอใจ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
ไม่ใช่ผู้หญิงปริศนา แต่กลับเป็นเมทิตย์ที่เดินมาจากทางเดินอีกด้านหนึ่งเรียกฉันไว้แทน ฉันเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย อีกฝ่ายจึงรีบตอบกลับมา
“ผมเป็นห่วง เห็นคุณหายไปนาน กลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือเปล่า”
“เปล่าหรอกค่ะ พอดีเพื่อนทักมาบ่นอะไรให้ฟังเลยเผลอตอบเพลินไปหน่อย”
ฉันตอบไปอย่างแก้เก้อทำตัวไม่ถูก เมทิตย์จึงชวนฉันเดินกลับไปที่บาร์ส่วนตัวที่ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของดาดฟ้าโรงแรมหรู ลมเริ่มแรงขึ้นแล้ว เขาจึงหยิบผ้าพันคอมาคลุมไหล่อันเปลือยเปล่าของฉันไว้ เสียงขอบคุณดังขึ้นแผ่วเบาขณะที่ประตูบาร์เปิดออกอีกครั้ง
“ไปดูตึกของคุณกัน เมื่อกี้ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณหมายถึงตึกไหน”
เมทิตย์จูงมือพาฉันเดินไปที่ดาดฟ้ากว้าง ท้องฟ้าของกรุงเทพมหานครมืดมิดเช่นทุกครั้ง ไม่มีดาวแม้แต่ดวงเดียว หากแต่ขมุกขมัวไปด้วยความซีดจางของอากาศอันหนักอึ้ง แต่ฉันก็หลงรักเมืองสีหม่นนี้จับใจ
00.00 นาฬิกา
เสียงร้องเตือนเบาๆ ดังมาจากนาฬิกาข้อมือของเมทิตย์ ฉันหันไปมองยิ้มๆ และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสียงระเบิดเบาๆ ดังขึ้นที่ตึกสูงของอีกฝั่ง พลุสีสวยสว่างจ้าขึ้นท่ามกลางค่ำคืนอันแสนมืดมน สว่างจนรู้สึกอบอุ่นเหมือนกับโดนสวมกอดไว้ด้วยรักที่แสนคุ้นเคย
“สุขสันต์วันเกิดนะ พอใจของผม”
ดวงตาคู่สวยนั้นยิ้ม ริมฝีปากสวยนั้นก็ยิ้มเช่นกัน ฉันยิ้มตอบ ก่อนจะถูกดึงร่างเข้าไปตรงหน้าเขา ในเวลาเดียวกันกับที่ท้องฟ้ายังคงเจิดจ้าไปด้วยพลุที่แตกเป็นประกาย
เมทิตย์ประทับรอยจุมพิตอย่างแผ่วเบา
รอยชุ่มชื้นนั่นยังคงให้ความรู้สึกคุ้นเคยไม่เปลี่ยนแปลง ฉันเผยอริมฝีปากรับอย่างโหยหาคนตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก เนื้อตัวร้อนวูบวาบระคนด้วยความยินดีในวันเกิดอายุครบเบญจเพสของตนในวินาทีนี้ มือแข็งแกร่งของเขาเลื่อนไล้มาสัมผัสที่แผ่นหลัง ก่อนจะค่อยๆ ดึงผ้าพันคอออก เผยให้เห็นผิวบริเวณหัวไหล่และท่อนแขนที่เปลือยเปล่า รับกับชุดกระโปรงยาวสีครีมเข้ารูปที่เผยให้เห็นส่วนโค้งส่วนเว้าของทรวดทรงไปจนจรดต้นขา
มือของเมทิตย์เลื่อนลงมาที่กลางหลังของฉัน สัมผัสนั้นเรียกความรู้สึกวาบหวามให้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว ในขณะเดียวกันจุมพิตรสหอมหวานก็ยังคงอยู่ไม่ห่าง สลับกับการทำความรู้จักกันอีกครั้งและอีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมา รสชาติของเขาหอมหวานเหมือนเหล้ารสจางที่เจืออยู่ในแก้วเครื่องดื่มสีสวย หากชิมเพียงครั้งแรกก็สามารถทำให้ติดใจหลงใหลได้ทันที อยากจะลองลิ้มรสอีกครั้ง หอมหวานจนลืมรสชาติฝาดเฝื่อนที่แฝงไว้ในตอนท้ายสุด อันเป็นรสชาติแห่งความมัวเมาที่ซ่อนเร้นไว้ให้ลุ่มหลงไม่รู้ลืม
“ไปที่ที่มีแต่เราสองคนดีไหม”
เขากระซิบ และฉันก็พยักหน้ารับอย่างแผ่วเบา