‘ชื่อเหยา’ ชิงเหยาส่ายหน้า ไม่ว่าอย่างไรไป่หลี่เยียนก็ยังเป็น…ผู้ให้กำเนิดประมุขน้อย ไม่คุ้มที่จะทำให้ประมุขน้อยเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะมารดาเช่นนี้
‘ประมุขน้อยใช้พลังยุทธ์ทั้งร่างทดแทนบุญคุณที่นางให้กำเนิดแล้ว นางไม่ได้มีความสัมพันธ์กับประมุขน้อย ยิ่งกว่านั้นก็เป็นนางทำร้ายประมุขน้อย ผู้ใดทำร้ายประมุขน้อย ผู้นั้นก็คือศัตรูของพวกเรา’ มิใช่เฮยเหยาไม่คำนึงถึงส่วนรวมหรือไม่คำนึงถึงชื่อเสียงของประมุขน้อย แต่เป็นเพราะส่วนรวมใดๆ ชื่อเสียงใดๆ ก็ล้วนเทียบกับความปลอดภัยของประมุขน้อยไม่ได้
‘เจตนาของประมุขน้อยจึงเป็นสิ่งที่พวกเราควรดำเนินตาม’ ชื่อเหยาและไป๋เหยาก็มีความเห็นเหมือนกัน
พวกเขาสี่คนเกิดมาก็ได้รับการอบรมฝึกฝนมาในฐานะองครักษ์แล้ว หลังจากประมุขน้อยถือกำเนิด พวกเขาก็ได้ทำพันธสัญญาเลือดกับประมุขน้อย จะจงรักภักดีชั่วชีวิต ไม่ทรยศเป็นอันขาด และเชื่อฟังประมุขน้อยแต่เพียงผู้เดียว
สำหรับพวกเขาสี่คน มีเพียงประมุขน้อยที่สำคัญที่สุด
‘ตอนนี้ควรทำอย่างไรต่อดี’
สี่เหยามองหน้ากัน เกี่ยวกับค่ายกลพิทักษ์เกาะ พวกเขาล้วนเคยได้ยินถึงอานุภาพ แต่การเปิดการทำงานค่ายกลกลับเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีประมุขเกาะมาหลายรุ่น ไม่มีใครรู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดเรื่องอะไร
ในที่สุดไป๋เหยาก็ตัดสินใจ ‘ฝ่าค่ายกลแล้วกัน! หากไม่ฝ่า ประมุขน้อย…’
‘แต่ถ้าค่ายกลมีการเปลี่ยนแปลงอะไร ทางด้านท่านประมุข…จะได้รับผลกระทบหรือไม่’ ชิงเหยายังคงพิจารณาไตร่ตรองมากกว่าเล็กน้อย
ในเวลานี้เอง…
ตูม!
โครม!
‘อ๊าก…’
เสียงจากการต่อสู้ต่างๆ นานาพลันดังมา และยังมีเสียงสิ่งปลูกสร้างบนเกาะพังถล่ม กลางอากาศมีประกายดาบเงากระบี่ พลังฝ่ามือปะทะกันไปมา
ยอดราชันยุทธ์ แทบจะเป็นพลังแก่นแท้ที่สูงกว่าพวกเขาหนึ่งขั้นเต็มๆ ไม่ว่าคนใดในสี่เหยาไปสู้ด้วย ล้วนต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
แม้เกาะหุนจะมีคนมาก แต่พลังแก่นแท้มีไม่พอต่อกร ด้านท่านประมุขได้ใช้วิชาลับยกระดับพลัง การต่อสู้ยืดเยื้อนานเท่าไรก็ไม่เป็นผลดีต่อท่านประมุขมากเท่านั้น ทว่าพวกเขาจำเป็นต้องพิทักษ์ประมุขน้อย…
สี่เหยากำสองหมัด ในดวงตามีแต่แววไม่ยินยอม
นับตั้งแต่รู้ความเป็นต้นมา เป็นครั้งแรกที่พวกเขาตระหนักได้ถึงความต่ำเตี้ยของพลังแก่นแท้ของตนเอง ไม่มีความแข็งแกร่งโดยสิ้นเชิง
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องเรียกเบาๆ ดังมาจากในสระน้ำลับ
‘สี่เหยา เข้ามา’
‘ประมุขน้อย!’ สี่เหยาวิ่งห้อเข้าไปทันที
ไป่หลี่จิงหงที่แช่อยู่ในสระน้ำลับลืมตาขึ้น ทั้งตัวคนดูอ่อนแรงเหลือประมาณ แต่สีหน้ากลับเย็นยะเยือกเหมือนปกติที่แล้วมา ประหนึ่งว่ามิมีสิ่งใดสามารถสั่นคลอนได้
ไป่หลี่จิงหงมองครอบแสงสีทองอ่อนบนท้องฟ้าเหนือเกาะหุน สีหน้าสงบนิ่ง ไม่มีเศษเสี้ยวของความหนักอึ้ง
‘พวกเจ้าจงฟัง หลังจากค่ายกลเปิดทำงาน…’ ถ้อยความต่อจากนั้นไป่หลี่จิงหงไม่ได้ใช้การพูด แต่เขียนและวาดลงบนผิวน้ำ
วิธีเดียวที่ทำให้สามารถเข้าออกเกาะหุนได้ก็คือต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต สู้อย่างไม่คิดชีวิต
หลังจากนั้นเขาก็พูดโดยไร้เสียง
‘ไป๋เหยาออกจากเกาะบัดเดี๋ยวนี้ จงไปบอกโม่อีเหรินว่านางเป็นภรรยาของข้า ข้าจะแต่งงานกับนางให้ได้แน่นอน’
เมื่อคิดถึงโม่อีเหริน ถึงแม้บัดนี้จะเจ็บปวดไปทั้งตัวและกำลังอยู่ในสถานการณ์คับขัน แววตาของไป่หลี่จิงหงก็ยังคงมีประกายอ่อนโยนปรากฏอยู่เสี้ยวหนึ่ง
‘ขอรับ’ ไป๋เหยาคุกเข่าข้างหนึ่งลง หลังทำความเคารพไป่หลี่จิงหงแล้วก็ลุกขึ้นเดินจากไป
‘เฮยเหยา ตามไปคุ้มกันหลัง’ เฮยเหยาพยักหน้า แล้วหมุนตัวจากไปเช่นกัน
ชิงเหยาและชื่อเหยาไม่ได้จากไปด้วย แต่ต่างเฝ้าอยู่ข้างๆ เป็นห่วงประมุขน้อยที่หลับตาอยู่เหลือประมาณ และก็วิตกกังวลต่อสถานการณ์ของท่านประมุขเกาะเช่นกัน
‘ชิงเหยา ชื่อเหยา จงจำคำพูดหนึ่งไว้ มีชีวิตรอดถึงจะสามารถปกป้องเกาะหุนได้’
เวลานั้นชิงเหยาและชื่อเหยาไม่ได้เข้าใจความหมายของคำพูดประโยคนี้นัก แต่ก็ยังคงขานรับ…
‘ขอรับ’
ทว่าไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็เข้าใจแล้ว