“ข้าพูดไม่ผิดนะ พี่ใหญ่จะต้องควบคุมความก้าวหน้าในการฝึกฝนไม่ใช่หรือ” ฉู่อีเหรินมีสีหน้าไร้เดียงสา ดูเปี่ยมไปด้วยเมตตา ไม่คิดว่าตนเองพูดอะไรผิดแม้แต่น้อย
“…” ฉู่เซวียนฉีสับสนอยู่บ้าง รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
“พี่เล็ก อย่าคิดมาก วันนี้พวกเขากล้าด่าว่าพี่เช่นนี้ ไม่แน่วันใดอาจจะกล้าลงไม้ลงมือ ดังนั้นการขู่ขวัญพวกเขาตามความเหมาะสมเป็นสิ่งที่จำเป็น” พี่เล็กเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา หากไม่เก็บคำพูดคนอื่นมาคิดมากก็จะไม่ต้องเหนื่อยใจ
“แต่ทำเช่นนี้…คล้ายกับใช้อำนาจรังแกคนอื่นอยู่บ้างกระมัง” ข่มขู่ผู้อื่นโดยใช้ชื่อเสียงของพี่ใหญ่ มันออกจะ…
“พวกเราใช้อำนาจรังแกคนอื่นตรงที่ใด พวกเราแค่ ‘ปกป้องตัวเอง’ เท่านั้น”
ฉู่อีเหรินแสดงสีหน้าเคร่งเครียด สอนพี่เล็กของตนอย่างเอาจริงเอาจัง
“ถ้าพวกเขาให้เกียรติ พวกเราจะต้องมีมารยาทด้วยแน่นอน แต่พวกเขาไม่ให้เกียรติพี่สักนิด ยังด่าว่าพี่ ไยพวกเราจึงต้องให้เกียรติเขา นี่ก็คล้ายกับการใช้เพลงกระบี่ของสกุลฉู่ต่อสู้กับคนอื่น จะต้องมีกระบี่ในมือ ถ้าไม่มีกระบี่จะใช้เพลงกระบี่ได้อย่างไร ยามนี้พี่ใหญ่ก็เหมือนกระบี่เล่มนั้นที่ใช้ปกป้องตัวเองและคนอื่นในยามที่พวกเรายังอ่อนแอ รอวันใดที่พวกเรากล้าแกร่ง ถึงวันนั้นค่อยพึ่งตัวเอง ถึงจะใช้อำนาจรังแกคนอื่นแล้วอย่างไร พึ่งอำนาจก็คือพึ่งอำนาจ มีอำนาจให้พึ่ง พวกเราจะต้องรู้สึกโชคดีสิ! เพราะนี่แสดงว่ามีคนยินยอมพร้อมใจปกป้องพวกเราโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด พวกเราจะต้องสำนึกในบุญคุณพี่ใหญ่ ไม่ต้องไปทำดีกับพวกที่คิดจะรังแกพวกเราหรอก”
ฉู่อีเหรินพูดไม่หยุด คาดไม่ถึงว่าคนที่เป็นที่พึ่งให้กำลังยืนฟังอยู่ด้านข้าง เขาฟังจนสีหน้าสับสน ไม่รู้จะทำเช่นไรดี
นางมองสีหน้าพี่เล็กที่คล้ายจะเข้าใจ เสียงเด็กน้อยที่เอ่ยกล่าวเปลี่ยนไปเป็นเสียงที่นุ่มนวลขึ้น
“พี่เล็ก ไม่ว่าในสถานการณ์ใด การปกป้องตัวเองเป็นสิ่งจำเป็น ถึงจะอยู่ในเรือน พวกเราก็ยังต้องพึ่งตัวเอง ดังนั้นพี่ไม่ต้องกังวลมากเกินไป” พี่เล็กซื่อตรงเกินไปและเป็นคนคิดมาก ดังนั้นจึงถูกรังแกและไม่รู้จะโต้ตอบเช่นไร
“ข้ารู้ เพียงแต่…” เขาไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกฝน นั่นคือความจริง ฉู่เซวียนฉีอดเศร้าใจบ้างไม่ได้
“พี่เล็ก อย่าคิดมาก พี่อยากฝึกฝนก็ฝึกฝนต่อไป พี่ใหญ่ก็ไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้ พี่ไม่ต้องไปสนใจว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร” ฉู่อีเหรินพิงแขนพี่เล็กพลางปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แต่ท่านพ่อกล่าวว่า…” พอนึกถึงคำพูดของท่านพ่อ ฉู่เซวียนฉีก็รู้สึกสิ้นหวังอยู่บ้าง แต่กลับไม่คิดยอมแพ้
‘ถ้าผ่านไปอีกปี เจ้ายังไม่ผ่านถึงขั้นดิน ระดับสอง เจ้าก็เตรียมตัวไปเมืองชิ่งเฉิง ไปเรียนรู้วิธีการดูแลกิจการของสกุลฉู่เสีย’
การดูแลกิจการคือการรวมคนในตระกูลที่ไร้พรสวรรค์ทางด้านวรยุทธ์ ฝึกฝนพวกเขาในด้านค้าขายหรือความสามารถในด้านอื่นเพื่อหาเงินทองมาให้คนในตระกูลใช้จ่าย
“ไม่ว่าท่านพ่อจะพูดอะไร พี่เล็กก็ไม่อยากเลิกฝึกยุทธ์ไม่ใช่หรือ” ฉู่อีเหรินมองพี่เล็ก อันที่จริงก็ปวดใจอยู่บ้าง