บทที่ 84
ภายในห้องตกอยู่ในความสงบ เงียบอยู่ครู่ใหญ่เฉิงหยวนจิ่งจึงพูดว่า “เจ้าตัดสินใจเช่นนี้หรือ”
เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้าลงพูดว่า “องค์รัชทายาททรงเข้าพระทัยผิดแล้ว ไม่ใช่หม่อมฉันคิดล่วงเกิน เพียงแค่กลับมาใช้พิธีการที่ควรแต่เดิมเท่านั้น หม่อมฉันก่อนหน้านี้ไม่มีผลงานใด อาศัยเพียงพระองค์อยู่ในจวนสกุลเฉิง ต้องการการปกปิดของสกุลเฉิงชั่วคราว จึงรบกวนพระองค์เหมือนท่านอาของตน เป็นความผิดของหม่อมฉันจริงๆ พระองค์เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ เจ้าแผ่นดินกับขุนนาง บิดากับบุตรล้วนมีหลักปฏิบัติตน หม่อมฉันในเมื่อบังเอิญรู้ฐานะของพระองค์ ย่อมต้องใช้มารยาทการพบปะเชื้อพระวงศ์ปฏิบัติต่อพระองค์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อวานโชคดีได้พระองค์ช่วยชีวิตไว้ องค์รัชทายาทเป็นทั้งผู้สืบทอดราชบัลลังก์ และเป็นผู้มีคุณช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้ หม่อมฉันย่อมต้องเคารพนบนอบ”
บิดาบุตรเจ้าแผ่นดินขุนนาง?
ต้องเคารพนบนอบ?
เฉิงหยวนจิ่งหัวเราะ ทว่าในดวงตามีแววเย็นชา ไม่มีรอยยิ้มเลย “อ้อ แล้วก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ที่จวนสกุลเฉิง เหตุใดไม่คิดเคารพแล้วอยู่ให้ห่าง เหตุใดถึงเพิ่งมาคิดได้ในวันนี้”
เฉิงอวี๋จิ่นทอดถอนใจอยู่ภายใน เห็นได้ชัดว่าบารมีของเฉิงหยวนจิ่งยืมได้ยากมาก คิดอยากต่อรองขอหนังจากพยัคฆ์* ยังไม่ทันได้หนังพยัคฆ์มา นางก็ไม่อาจสลัดตัวหลุดได้แล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นเดิมทีไม่เคยคิดว่าเฉิงหยวนจิ่งจะมีความคิดด้านนี้ ดังนั้นจึงคิดอยากดึงความรู้สึกอันดีจากเจ้าแผ่นดินในอนาคตเพื่อหาผลประโยชน์ให้ตนเอง สุดท้ายเลือกแต่งงานกับผู้มีศักยภาพที่ได้รับความชื่นชมจากองค์รัชทายาท อนาคตวันข้างหน้าไร้ขีดจำกัด ทำให้ชีวิตเยี่ยงผู้ชนะตลอดรอดฝั่งในทุกทางเป็นจริงขึ้นมา
แต่เมื่อวานเฉิงหยวนจิ่งกระโดดลงน้ำมาช่วยนาง เป็นการทุบศีรษะเฉิงอวี๋จิ่นด้วยก้อนอิฐอย่างแรงโดยไม่ต้องสงสัย ทำให้นางหาทิศทางไม่ค่อยเจอ แท้จริงแล้วพวกเขาก่อนหน้านี้มีการกระทำสนิทสนมอยู่ในขอบเขตที่คลุมเครือจำนวนมาก หากเป็นหนุ่มสาวทั่วไปถือว่าสนิทกันมากไปสักหน่อย แต่การเรียก ‘ท่านอาเก้า’ นั้นสร้างความสับสนเหลือเกิน เฉิงอวี๋จิ่นฟังมากเข้าก็ค่อยๆ ถูกบดบังความเป็นจริงไป คิดว่าระหว่างญาติสนิทสนมสักนิดเป็นเรื่องปกติ ตีกันบ้างหาเรื่องกันบ้างเป็นเรื่องปกติมาก
ทว่าพวกเขาไม่ได้เป็นญาติกันจริงๆ หากทั้งสองคนไม่มีใครพูดถึง หลังจากเฉิงหยวนจิ่งจากไป เรื่องเหล่านี้ก็ไม่มีใครรู้ ใครจะรู้ว่าเฉิงหยวนจิ่งไม่คิดจะหยุดเพียงเท่านี้ เขาฉีกหน้าต่างกระดาษที่ไม่แข็งแรงระหว่างพวกเขาสองคนต่อหน้านาง ทำลายความสัมพันธ์ที่เปราะบางนี้ ทำให้เฉิงอวี๋จิ่นจำต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ตึงเครียดอีกอย่างหนึ่ง
นางดึงความรู้สึกอันดีออกมามาก…มากเกินไปแล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าองค์รัชทายาทจะหมายตาในตัวนาง เหมือนว่าจิตใต้สำนึกได้ตัดความเป็นไปได้เช่นนี้ออกไปแล้ว ตอนที่เฉิงอวี๋จิ่นเลือกสามี ไม่ได้เอาชื่อของเฉิงหยวนจิ่งวางไว้ในตัวเลือกที่เตรียมไว้เลย ดังนั้นนางย่อมต้องคิดว่าเฉิงหยวนจิ่งก็เป็นเช่นเดียวกัน
อย่างไรเสียคุณค่าของเฉิงอวี๋จิ่นสำหรับเฉิงหยวนจิ่งนั้น ไม่ต่างอะไรกับคุณค่าของโจวเฉิงที่มีต่อเฉิงอวี๋จิ่นเลย โจวเฉิงก็คือผู้ที่ก่อนหน้านี้สอบได้จิ้นซื่อปีเดียวกับหลินชิงหย่วน แต่ทางบ้านยากจนจนต้องอาศัยมารดากับน้องสาวเย็บปักเลี้ยงชีวิตผู้นั้น
ทั้งสองแม้เป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่น ทว่าทางบ้านคอยเป็นตัวถ่วงทุกอย่าง พิจารณาถึงฐานะพิเศษของเฉิงหยวนจิ่งแล้ว ความรุนแรงในการเป็นตัวถ่วงของจวนอี๋ชุนโหวร้ายแรงกว่าสกุลโจวมากนัก
เฉิงอวี๋จิ่นเลื่อมใสโจวเฉิงมาก และซาบซึ้งใจมากกับความผูกพันในเครือญาติที่คอยประคับประคองกันของครอบครัวพวกเขา แต่เฉิงอวี๋จิ่นไม่มีทางคิดแต่งงานกับโจวเฉิง เป็นภรรยาตระกูลสูงศักดิ์ที่เสริมบารมีให้โจวเฉิงข้ามขั้นอย่างเด็ดขาด นางสามารถเลือกคนจากครอบครัวระดับเดียวกัน มีความสามารถด้อยกว่าสักคนอย่างเช่นสวีจือเซี่ยนได้ หรือถึงขั้นลองเสี่ยงเลือกหลินชิงหย่วนที่มีครอบครัวและความสามารถที่ดีกว่า
สมองของนางต้องมีหลุมใหญ่เพียงใดจึงไปเลือกโจวเฉิง ทำการค้าขายไม่ได้รับผลตอบแทนที่มีความเสี่ยงสูงเช่นนั้น เปลี่ยนอีกมุมหนึ่ง สภาพการณ์ระหว่างนางกับเฉิงหยวนจิ่งก็เป็นเช่นเดียวกัน
หากจะพูดว่าชาวบ้านทั่วไปกับบัณฑิตมีหลุมหนึ่งหลุมกั้นกลาง ตระกูลขุนนางทั่วไปกับจวนกงโหวก็มีหลุมอีกหนึ่งหลุมกั้นกลาง เช่นนั้นระหว่างขุนนางบรรดาศักดิ์กับบุตรหลานเชื้อพระวงศ์ คงจะกางกั้นไว้ด้วยฟ้ากับดินแล้ว