ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง เล่ม 3 บทที่ 83-84
เฉิงอวี๋จิ่นดูเหมือนตกใจ นางเบิกตากว้างแล้วเหลือบมองเฉิงหยวนจิ่งอย่างรวดเร็ว แม้จะพยายามปกปิด แต่หัวคิ้วยังคงขมวดเล็กน้อยอยู่ดี คำพูดเช่นนี้แทบจะเป็นการเปิดเผย เฉิงหยวนจิ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยแสดงอำนาจบารมีโดยไม่หวาดหวั่นอะไรต่อหน้านางมาก่อน เฉิงอวี๋จิ่นรู้สึกด้วยจิตใต้สำนึกว่าเฉิงหยวนจิ่งเป็นองค์รัชทายาทที่ถ่อมตนมีสติปัญญาคุณธรรมมาตลอด
นางย่อมไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฉิงหยวนจิ่งจะพูดคำเช่นนี้เป็น ใช้อำนาจบีบบังคับ ใช้บุญคุณขอการตอบแทน เรียกได้ว่าไม่เกรงใจอย่างยิ่ง
เฉิงอวี๋จิ่นพูดไม่ออกในทันที นางสามารถรวบรวมความกล้าพูดเหตุผลกับอีกฝ่ายได้ แต่วิธีนี้พูดให้ชัดเจนก็คือป้องกันผู้เป็นเจ้าเหนือหัว ไม่ป้องกันคนเลวร้าย อีกฝ่ายเป็นสุภาพบุรุษมากพอ เช่นนั้นยังพอว่า หากอีกฝ่ายไม่หวาดหวั่นอะไรเลยเล่า
แม้แต่ตี๋เหยียนหลินยังสามารถบีบคั้นให้นางยอมจำนนได้ นับประสาอะไรกับเฉิงหยวนจิ่ง
เฉิงหยวนจิ่งเห็นสีหน้านางเปลี่ยนไปก็ยื่นมือออกมา แล้วพูดว่า “มานี่”
เฉิงอวี๋จิ่นลังเลใจ ตัดสินใจอยู่นานก็ไม่ยอมเดินขึ้นหน้า แต่เฉิงหยวนจิ่งมีความอดทนมาก ยังคงยื่นมือรออยู่ตลอด
อดทนแต่ไม่ยอมให้มีความเห็นอื่น
เฉิงอวี๋จิ่นสุดท้ายก็จนปัญญา ถอนหายใจไร้เสียงเฮือกหนึ่ง เดินขึ้นหน้าสองก้าว ยื่นมือไปวางบนฝ่ามือของเฉิงหยวนจิ่งเป็นการหยั่งเชิง
นิ้วมือเพิ่งแตะถูกฝ่ามือของเขาก็ถูกกุมไว้ทันที จากนั้นมีแรงส่งมา เฉิงอวี๋จิ่นถูกดึงเข้าไปถึงหน้าเก้าอี้ เฉิงหยวนจิ่งโอบไหล่ของนางอย่างเป็นธรรมชาติมาก กดตัวนางลงข้างกายตนเอง
นี่เดิมทีเป็นตำแหน่งของคนคนเดียว จู่ๆ เพิ่มมาหนึ่งคน ที่ว่างถูกบีบให้น้อยลงทันใด เฉิงอวี๋จิ่นนั่งตัวติดกับเฉิงหยวนจิ่ง นางเกร็งไปทั้งร่าง เฉิงหยวนจิ่งกลับดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เริ่มจากการวัดความร้อนบนหน้าผากของเฉิงอวี๋จิ่น แล้วพลิกข้อมือนางมาแตะสักครู่ พูดว่า “ดีขึ้นมากแล้ว พักฟื้นอีกไม่กี่วันก็หาย”
เฉิงอวี๋จิ่นไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว แต่นางก็ไม่กล้านิ่งเงียบ เฉิงหยวนจิ่งไม่ไว้หน้าโดยสิ้นเชิง หากนางยอมตามเขาอย่างเชื่อฟังตลอด ใครจะรู้ว่าอีกครู่จะเกิดอะไรขึ้น เฉิงอวี๋จิ่นตาลอยไปครู่หนึ่ง จึงถามว่า “องค์รัชทายาททรงตรวจชีพจรเป็นหรือ”
“ป่วยนานจนกลายเป็นหมอ ตอนเด็กข้าสุขภาพไม่ดี เห็นมากเข้าก็ค่อยๆ ทำเป็น”
คำพูดนี้เกี่ยวพันถึงการต่อสู้ในวังหลวงสองรุ่น เฉิงอวี๋จิ่นไม่กล้าพูดต่อส่งเดช หยุดสักครู่แล้วเลือกพูดประจบแบบเอาตัวรอด “องค์รัชทายาททรงฉลาดจริงๆ พระองค์ตอนนี้เพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ ดูไม่ออกเลยว่าตอนเด็กจะมีสุขภาพไม่ดี”
คิดว่าคำพูดประเภทนี้เขาคงเคยได้ยินบ่อยแล้ว เฉิงหยวนจิ่งไม่ได้ตอบอะไร แค่มองเฉิงอวี๋จิ่นครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หัวเราะ “เจ้ากลัวข้ามากหรือ”
เฉิงอวี๋จิ่นถอนหายใจ วางความขัดข้องใจลง พูดกับเขาอย่างดี “ย่อมใช่ เมื่อครู่พระองค์ตรัสเช่นนั้น หม่อมฉันไม่อาจไม่กลัวได้”
เฉิงหยวนจิ่งไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ เขาตรวจชีพจรแล้วไม่ได้ถือโอกาสปล่อยมือของเฉิงอวี๋จิ่น แต่ยังคงกุมไว้ในมือ คลำเล่นอย่างช้าๆ เฉิงอวี๋จิ่นอยากชักกลับแต่ไม่กล้า ทำได้เพียงนั่งรอตัวเกร็ง เขาเล่นนิ้วมือของเฉิงอวี๋จิ่นไปทีละนิ้ว ทันใดนั้นก็พูดว่า “เมื่อวานเจ้าเจอกับคนสกุลตี๋แล้วใช่หรือไม่”
เฉิงอวี๋จิ่นไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา จึงตอบตามตรง “ใช่ เมื่อวานหม่อมฉันกับท่านแม่ อาสะใภ้รองออกมาชมโคมไฟ บังเอิญได้เจอกับนายหญิงรองตี๋ระหว่างทาง นายหญิงรองตี๋มีเรื่องจะพูดคุยกับท่านแม่ตามลำพัง ท่านแม่จึงให้หม่อมฉันไปเดินดูแผงโคมไฟสองข้างทาง จากนั้น…เรื่องต่อจากนั้นพระองค์ก็ทรงรู้แล้ว”
“ที่แท้เจ้าไม่ได้ยินว่าพวกนางพูดอะไรกัน” เฉิงหยวนจิ่งเข้าใจแล้ว “มิน่าล่ะ”
“อะไรหรือ” เฉิงอวี๋จิ่นไม่เข้าใจ มองไปทางเฉิงหยวนจิ่งอย่างสงสัย
เฉิงอวี๋จิ่นนั่งอยู่ในวงแขนของเขา ดวงตาคู่นั้นมองใกล้ๆ ยิ่งสวยงามจนน่าตกใจ เฉิงหยวนจิ่งมองสักครู่ ทันใดนั้นก็อยากกระทำเรื่องที่ใกล้ชิดยิ่งกว่านี้สักนิด ทว่าพวกเขาในตอนนี้ยังไม่ได้แต่งงานกัน ถึงขั้นยังไม่ได้หมั้นหมาย การกระทำเหล่านี้เกินขอบเขตมากไป
เฉิงหยวนจิ่งยังคงสะกดใจเรื่องที่ผิดทำนองคลองธรรมเอาไว้ได้ เขาได้รับการอบรมสั่งสอนให้เป็นผู้สืบทอดแผ่นดินมาสิบกว่าปี สุดท้ายเคารพระเบียบมากกว่าปล่อยตามใจชอบ ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเกียรติของเฉิงอวี๋จิ่นด้วย
เฉิงอวี๋จิ่นรู้สึกเพียงว่าเฉิงหยวนจิ่งมองนางอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง สายตาคู่นั้นทำให้นางระแวดระวังตัวอย่างไร้สาเหตุ จากนั้นเขาก็เลื่อนสายตาไปทางอื่น แล้วพูดอย่างไร้ความผิดปกติ “สกุลตี๋ไปไม่ใช่เพื่อเจรจา พวกเขาไปเพื่อขออภัย”
เฉิงอวี๋จิ่นขมวดคิ้ว พูดตอบตามจิตใต้สำนึก “เป็นไปได้อย่างไร ถ้าพวกเขาคิดจะถอนหมั้น เหตุใดท่าทีจึง…”
เสียงพูดที่เหลือชะงักไปทันใด เฉิงหยวนจิ่งเหมือนจะคาดไว้ก่อนแล้ว จึงมองนางด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นข้าจึงบอกว่าพวกเขาไปเพื่อขออภัยอย่างไรเล่า”
การขออภัยนี้มีความหมายสองชั้น ชั้นหนึ่งเป็นการขออภัยเพราะถอนหมั้นแล้วรู้สึกผิดต่อฝ่ายหญิง เฉิงอวี๋จิ่นเคยประสบมาแล้วครั้งหนึ่ง อย่างเช่นการขอขมาที่ไร้ซึ่งความจริงใจของสกุลฮั่ว อีกชั้นหนึ่งคือเพราะไปหาเรื่องคนที่ไม่สมควรหาเรื่องเข้า กลัวว่าวันหน้าจะถูกคิดบัญชี จึงรีบมาเพื่อขออภัย
เฉิงอวี๋จิ่นเดิมทีคิดว่าที่นายหญิงรองตี๋ไปพบท่านหญิงชิ่งฝูด้วยเหตุผลแบบแรก แต่ตอนนี้ดูท่าแล้วจะเป็นแบบที่สองหรือ
จวนไช่กั๋วกงไม่มีทางกลัวสกุลเฉิง ในเรื่องนี้ต้องเป็นเพราะเฉิงหยวนจิ่งแน่นอน
เรื่องการแต่งงานก่อนหน้านี้เป็นเพียงข้อตกลงปากเปล่าเท่านั้น ไม่มีหนังสือสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร แม้แต่คนที่รู้เรื่องก็มีไม่มากเช่นกัน สกุลตี๋มาถอนหมั้นโดยดี เฉิงอวี๋จิ่นชื่อเสียงไม่เสียหาย ยังได้รับของขอขมาจากจวนไช่กั๋วกงจำนวนหนึ่ง นี่เป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดแล้ว แผนการดีที่สุดที่เฉิงอวี๋จิ่นวางไว้ก่อนหน้ายังไม่ดีเท่านี้เลย
เฉิงหยวนจิ่งบอกให้นางไม่ต้องกังวล เขาจะจัดการแทนนางเอง มันเป็นเรื่องจริง
เฉิงอวี๋จิ่นพูดอะไรไม่ออก เพราะได้รับรู้เรื่องราวไม่ครบ เมื่อคืนนางไม่รู้ว่านายหญิงรองตี๋พูดอะไรไปบ้าง ดังนั้นจึงตัดสินใจเสี่ยงอันตราย เสี่ยงตายเพื่อเดิมพันกับอุปนิสัยของหลินชิงหย่วน หากหลินชิงหย่วนลงมาช่วยนาง นางก็จะมีเหตุผลที่สมควรแต่งงานกับหลินชิงหย่วน หากหลินชิงหย่วนไม่ลงมาช่วยนาง…เช่นนั้นนางก็ได้เห็นคนผู้หนึ่งอย่างชัดเจน ครึ่งชีวิตที่เหลือของตนเองจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับสามีที่ไม่ดี นี่ก็ไม่เสียหายอะไร