บทที่ 6
เฉิงอวี๋จิ่นน้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก แม้ว่านางจะมีเพียงโครงเปล่า แต่ก็ยังเป็นโครงเปล่าที่งดงาม ขอเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยินดีอุ้มชูนางต่อไป ท่านหญิงชิ่งฝูไม่เสียอำนาจ นางก็ยังเป็นคุณหนูใหญ่ที่สูงศักดิ์ที่สุดในจวนอี๋ชุนโหว ใครบ้างจะกล้าพูดว่าคำพูดนางไร้สาระ
ตอนเฉิงอวี๋จิ่นถลึงตาจ้องคน ดวงตาราวภาพวาดคู่นั้นกลมดิก นับได้ว่าเผยอารมณ์แท้จริงออกมาบ้าง เฉิงหยวนจิ่งใจคิดว่าเช่นนี้สบายตาขึ้นเล็กน้อย เพราะท่าทางเช่นเดิมของเฉิงอวี๋จิ่นเฉิงหยวนจิ่งดูแล้วเหนื่อยแทน
เฉิงอวี๋จิ่นโกรธมาก ทว่าคนตรงหน้านี้ไม่แสดงความรู้สึกอะไรเลย ยังถามอีกว่า “ยังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
เฉิงอวี๋จิ่นดวงตากลมโตขึ้น เฉิงหยวนจิ่งเห็นสีหน้าของนางเหมือนได้คำตอบของตนเอง เขาหมุนตัวเดินไปทันที ท่าทางนั้นไม่ได้สนใจเฉิงอวี๋จิ่นแม้แต่น้อย ความโกรธของนางแล่นมาจากทั่วสารทิศ ตะโกนอย่างเย็นชาอยู่ข้างหลังว่า “ท่านอาเก้า!”
ยังคงไร้การตอบสนอง นางทนต่อไปไม่ไหว วิ่งไล่ตามไปขวางตรงหน้าเฉิงหยวนจิ่งไว้
ผู้ติดตามที่อยู่ใกล้กับเฉิงหยวนจิ่งต่างรู้เรื่องราวภายใน คนที่มีท่าทางเหมือนองครักษ์หน้าตาหมดจดผู้หนึ่งขมวดคิ้ว กล้าขวางทางองค์รัชทายาทเช่นนี้ กล้ามากเกินไปแล้วกระมัง
เขาคิดเช่นนี้ จึงพูดเสียงเข้มว่า “คุณหนูใหญ่เฉิง…”
หากเฉิงอวี๋จิ่นสังเกตสักนิดก็จะพบว่าองครักษ์คนนี้เรียกนางว่า ‘คุณหนูใหญ่เฉิง’ จะมีบ่าวไพร่คนใดเรียกเจ้านายในบ้านตนเองแล้วยังต้องเติมแซ่อีก
เฉิงอวี๋จิ่นในยามนี้ไม่ได้สังเกตรายละเอียดเหล่านั้น นางยืนอยู่ตรงหน้าเฉิงหยวนจิ่ง ดวงตาคู่นั้นจ้องเขาอย่างเย็นชา
เหมือนกับถูกเห็นสภาพที่แย่ที่สุด เฉิงอวี๋จิ่นจึงไม่ทำท่าทางเชื่อฟังว่าง่ายต่อไปอีก พูดตามตรงว่า “เพิ่งกลับมาก็ให้ท่านอาเก้าเห็นเรื่องเช่นนั้น ดูท่าความคิดที่ท่านอาเก้ามีต่อข้าคงจะตกต่ำถึงก้นเหว แต่ว่าท่านอาเก้าเป็นญาติผู้ใหญ่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวันนี้ได้เข้าสู่วงราชการ เป็นขุนนางชั้นสูงขั้นสี่ ท่านอาเก้าคงไม่ถึงขั้นถือสาหลานสาวคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ออกเรือนกระมัง ไม่กลัวว่าท่านอาเก้าจะหัวเราะเยาะ วันนี้ข้าเพิ่งถูกคนถอนหมั้นมา ด้วยอารมณ์สะเทือนใจ ทำให้คำพูดและการกระทำรุนแรงเกินไปบ้าง ทว่าบุรุษแต่งใหม่ได้ สตรีแต่งใหม่ไม่ได้ ฮั่วฉางยวนถอนหมั้นไม่มีผลกระทบอะไร ส่วนข้าแม้แต่จะแต่งงานในวันหน้ายังเป็นปัญหา ข้าไม่มีหนทาง ทำได้เพียงพูดกลบเกลื่อนให้ตนเองต่อหน้าท่านปู่ท่านย่าเท่านั้น”
เฉิงหยวนจิ่งมองนาง สีหน้ามองไม่เห็นความรู้สึกใด ยิ่งไม่ท่าทีสงสาร เขาพูดว่า “แล้วอย่างไร เกี่ยวข้องอะไรกับข้า”
เฉิงอวี๋จิ่นหัวเราะ พูดว่า “เรื่องของสตรีในบ้าน ย่อมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับท่านอาเก้า ขอเพียงท่านอาเก้าไม่พูดอะไรก็พอแล้ว”
เฉิงหยวนจิ่งอยากจะหัวเราะ ความเป็นจริงเขาหัวเราะออกมาแล้วจริงๆ ช่างหาได้ยากนัก เขาเติบโตมาจนอายุสิบเก้าปี นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าชี้แนะว่าเขาควรจะพูดจาอย่างไร
พวกเขาสองคนตอนนี้อยู่ใกล้กันมาก เฉิงหยวนจิ่งก้มหน้าส่งยิ้มให้นาง แม้จะเป็นรอยยิ้มบางๆ ที่ไม่ได้ลึกเข้าไปในดวงตา แต่เฉิงอวี๋จิ่นยังคงตกตะลึงไปเล็กน้อย
สกุลเฉิงร่ำรวยรุ่งเรืองมาห้าหกรุ่น ใช้ชีวิตมีเกียรติมั่งคั่งมาหลายปี กอปรกับรูปโฉมที่งดงามขึ้นของภรรยาและเหล่าอนุภรรยา เด็กรุ่นหลังของสกุลเฉิงจึงมีรูปโฉมไม่เลว ถึงขั้นได้รับส่วนช่วยจากบรรพชนแต่ละรุ่นของจวนอี๋ชุนโหวที่ไม่ขยันหาความก้าวหน้าและลุ่มหลงในความงาม มาถึงรุ่นของเฉิงอวี๋จิ่น ในบ้านพวกเขาไม่ว่าจะชายหรือหญิง หากอยู่ในกลุ่มลูกหลานขุนนางชั้นสูงที่อายุไล่เลี่ยกันแล้ว แต่ละคนต่างมีความโดดเด่น งดงามเหนือทุกผู้ทุกคน ทว่าต่อให้เป็นชายหนุ่มที่น่ามองที่สุดของสกุลเฉิง หรือจะนับรวมคุณชายอายุน้อยทุกคนที่เฉิงอวี๋จิ่นเคยพบด้วยแล้ว ต่างไม่มีใครเทียบเคียงรูปโฉมกับเฉิงหยวนจิ่งได้เลย
เขารูปร่างสูง โหนกคิ้วชัดเจน สันจมูกตรงสูง สองแก้มเป็นเหลี่ยมชัด แต่โครงหน้าดูงดงาม เป็นหน้าตาที่ดีเลิศ ขณะเดียวกันเขายังมีผิวขาว คิ้วคมตาเป็นประกาย ขนตาหนา ริมฝีปากบางและแดง รูปโฉมแทบจะไม่มีที่ติ
เครื่องหน้าเช่นนี้หากอยู่บนตัวชายหนุ่ม เรียกได้ว่า ‘งดงาม’ ทว่าความงดงามของเขาในรูปแบบนี้ไม่ใช่ความงดงามอ่อนโยนแบบสตรี แต่เป็นในรูปแบบห่างเหินเย็นชา สูงส่งจนเอื้อมไม่ถึง
ดังนั้นเพียงแค่เขาแย้มรอยยิ้ม เฉิงอวี๋จิ่นทั้งที่รับรู้ได้ถึงความห่างเหินของเขาก็ยังคงตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่