สวีลี่คังทนไม่ได้รีบพยุงนางลุกขึ้นมา “ทุกอย่างล้วนถูกลิขิตเอาไว้แล้ว ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลย ตอนนี้ควรมาคิดกันว่าจะผ่านคราวเคราะห์ตรงหน้านี้ไปอย่างไรดี”
“ท่านลุงวางใจเถิด เม่ยเอ๋อร์จะต้องสืบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด แล้วก็จะคืนความบริสุทธิ์ให้แก่ท่านพ่อด้วย!”
กล่าวมาถึงตรงนี้พลันได้ยินเสียงปรบมือดังกังวานขึ้น “เยี่ยม ยอดเยี่ยม นึกไม่ถึงว่าเม่ยเอ๋อร์จะเป็นสตรีตรงไปตรงมาผู้หนึ่งจริงๆ ข้าไม่ได้มองพลาดไปเลย!”
ถ้อยคำยังกล่าวไม่ทันจบ เงาร่างวูบไหวสีขาวที่ราวกับโผล่มาจากแสงอรุณทางทิศตะวันออกซึ่งแฝงกลิ่นอายสดชื่นของหญ้าภูเขาก็มาถึง
“เจ้ามาทำอะไร ยังไม่ถึงกำหนดเวลา!” สวีเทียนหลินถลึงตาใส่อย่างโมโห ตั้งใจจะพุ่งไปข้างหน้าทว่ากลับถูกบิดาขัดขวางเอาไว้
“ข้าย่อมมาหาคู่หมั้นของข้า มีสิ่งใดผิดหรือ” หลินจื่อเฟิงยิ้มบางๆ อาภรณ์เรียบง่ายบนร่างพลิ้วไปตามแรงลม ยิ่งทำให้เขาดูโดดเด่นเหนือผู้อื่น สง่างามดุจเทพเซียน ซ้อนทับกับภาพปรมาจารย์ชื่อซงจื่อที่อยู่ด้านหลัง
“หลินจื่อเฟิง เป็นสกุลเถาของพวกเราที่ติดค้างหนี้ชีวิตเจ้า ท่านพ่อข้าทดลองดื่มยาด้วยตนเอง ยามนี้ได้ชดเชยหนึ่งชีวิตให้เจ้าแล้ว หรือเจ้ายังไม่คิดเลิกราอีก!” เถาเม่ยเอ๋อร์น้ำตานองหน้า มองผู้ที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างเดือดดาล
“อะไรนะ!” หลินจื่อเฟิงมีสีหน้าตกใจ ยามนี้ถึงเพิ่งตระหนักว่าสกุลเถามีผู้จากไปแล้ว “หืม? หากกล่าวเช่นนี้ก็แสดงว่าความผิดพลาดอย่างไม่ตั้งใจของข้าทำให้เจอคนร้ายตัวจริงเข้าหรือ”
“หลินจื่อเฟิง เจ้าไม่ต้องเรียกความสนใจจากเม่ยเอ๋อร์ หากต้องการชีวิตก็พุ่งเป้ามาที่ข้าเสีย!” สวีเทียนหลินยังคงไม่เต็มใจยอมรับผลเช่นนี้
“นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับเม่ยเอ๋อร์ ข้าไม่ต้องการให้มีคนนอกมาสอดมือ!” หลินจื่อเฟิงปรายตามองสองพ่อลูกสกุลสวีอย่างเหยียดหยามก่อนหันกายกลับมา
“เม่ยเอ๋อร์ขอร้องให้ท่านลุงไม่ต้องเข้ามายุ่งในเรื่องนี้ เม่ยเอ๋อร์ต้องการสนทนากับหลินจื่อเฟิงตามลำพังเจ้าค่ะ”
เถาเม่ยเอ๋อร์ไม่อยากทำให้สกุลสวีต้องลำบากไปด้วย จึงคำนับสวีลี่คังอีกครั้ง
“เรื่องนี้ข้าจะให้สตรีบอบบางเช่นเจ้าเผชิญหน้ากับอันตรายเพียงลำพังได้อย่างไร มิใช่ผิดต่อดวงวิญญาณของท่านพ่อเจ้าหรอกหรือ” สวีลี่คังเองก็เป็นผู้มีไมตรีลึกซึ้ง ไม่ยอมถอนตัวไม่เกี่ยวข้อง
“หลินจื่อเฟิง เจ้าไม่กลัวข้าแจ้งทางการจับเจ้าเข้าคุกรึ” สวีเทียนหลินทนไม่ไหวอีกต่อไป ถลึงตากว้างอย่างอำมหิต
“ฮ่าๆๆ หากเจ้าไม่กลัวว่าถนนยาวสิบลี้แห่งนี้จะเปลี่ยนเป็นพื้นที่รกร้างก็เชิญตามสะดวก!” หลินจื่อเฟิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ท่วงท่าองอาจไม่ยำเกรง
“เจ้าอย่าได้รังแกผู้อื่นเกินไปนัก!” เส้นเลือดสีเขียวบนหน้าผากสวีเทียนหลินปูดโปนขึ้นมา เขาแทบอยากสังหารอีกฝ่ายเสียทันที แต่ด้วยเป็นห่วงถึงความปลอดภัยของเถาเม่ยเอ๋อร์จึงยังไม่กล้าลงมือ
ยามนี้ระยะห่างระหว่างเถาเม่ยเอ๋อร์กับหลินจื่อเฟิงมีเพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น
เถาเม่ยเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น จู่ๆ พลันจับจ้องไปที่ลิ้นชักไม้สีแดงที่เรียงรายอยู่ข้างล่างโต๊ะเก็บเงิน ก่อนลุกพรวดขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปเปิดลิ้นชักที่อยู่ชั้นล่างสุดอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหยิบกล่องไม้เล็กๆ กล่องหนึ่งออกมาแล้วเปิดออกดู
ทว่าภายในกล่องไม้นั้นกลับว่างเปล่า
“พี่ชาย ซิ่นสือก้อนนั้นเล่า” เถาเม่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าชีวิตตนเองกำลังหลุดลอยไปทีละเล็กทีละน้อยจนแทบจะหายใจไม่ออก เดิมคิดอยากนำซิ่นสือก้อนนี้ออกมาเป็นเบี้ยสำหรับการเจรจาต่อรองกับหลินจื่อเฟิง กลับไม่รู้เลยว่าจะเป็นเพราะความโง่เขลาของคนในครอบครัวตนเองที่ทำลายทุกสิ่งอย่าง