การตรวจยึดทรัพย์ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องถึงตอนเที่ยงของวันถัดมา จึงจะเสร็จสิ้น
ระหว่างนั้น ผิงอวี้คิดได้ว่าการพาคนจำนวนมากเดินทางระยะไกลทำได้ไม่ง่ายนัก จึงให้นำตัวพวกคนรับใช้ของสกุลฟู่ไปยังที่ว่าการเมืองชวีจิ้ง แล้วส่งมอบให้เจ้าเมืองนำตัวไปขายหรือยึดทรัพย์ปรับโทษตามระเบียบของราชสำนัก
เพียงครึ่งวันจวนสกุลฟู่อันยิ่งใหญ่ก็เหลือเพียงคนรับใช้ไม่กี่คนกับองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มใหญ่ แม่นมหลินที่มีฐานะเป็นคนรับใช้เก่าแก่ของสกุลฟู่ถือว่ามีประโยชน์ต่อการสรุปคดี ผิงอวี้ยังพอมีเมตตาอยู่บ้าง จึงไม่ได้ให้ขายนางไปพร้อมกับคนรับใช้คนอื่นๆ
หลังจากกินอาหารกลางวันอย่างลวกๆ ฟู่หลันหยาและแม่นมได้รับอนุญาตให้เก็บข้าวของสำหรับเดินทางแค่เพียงไม่กี่อย่าง เพราะเป็นกลางฤดูคิมหันต์ เสื้อผ้าที่สวมใส่จึงไม่ได้หนาชั้น เสื้อผ้าแพรพรรณอันล้ำค่าถูกริบไว้ชั่วคราว ทั้งสองจึงเก็บข้าวของได้อย่างรวดเร็วยิ่ง
แม้เป็นเพียงการเก็บสัมภาระสำหรับเดินทาง แต่ก็ยังมีองครักษ์เสื้อแพรคอยสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ คิดแล้วคงจะกลัวว่าพวกนางนายบ่าวจะชิงฆ่าตัวตายหรืออาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นก็เป็นได้
ในใจฟู่หลันหยารู้สึกเศร้าหมองตลอดเวลาที่เก็บข้าวของ ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ออกจากจวน ฟู่หลันหยาเห็นรถม้าสองคันจอดอยู่ประตูหน้า ด้านหน้ารถแขวนม่านหนาหนักไว้ คนภายนอกไม่อาจมองเห็นภายในรถได้ รถสองคันนี้ใช้สำหรับนำตัวพวกนางนายบ่าวเดินทางไปนั่นเอง องครักษ์เสื้อแพรเหน็บดาบแล้วโดดขึ้นหลังม้า ก่อนประกบด้านหน้าและหลังของรถม้าเอาไว้
ฟู่หลันหยาเดินไปที่ด้านหน้ารถอย่างเงียบๆ นางหยุดชะงักแล้วหันกลับไปมองจวนสกุลฟู่เป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
นางจำได้ มารดาเคยเล่าให้ฟังว่ายี่สิบปีก่อนตอนที่บิดาของนางได้รับแต่งตั้งให้ออกไปรับตำแหน่งข้างนอกครั้งแรก เขาก็ได้ประจำการที่เมืองชวีจิ้ง ตอนนั้นภายในดินแดนอวิ๋นหนานมีชาวอี๋คอยก่อความวุ่นวายอยู่เนืองๆ ชวีจิ้งที่ถือเป็นชัยภูมิสำคัญจึงถือเป็นแดนเถื่อนที่แสนอันตราย
บิดาของนางในฐานะเจ้าเมืองชวีจิ้งเผชิญอันตรายอย่างไม่นึกหวาดหวั่น ก่อนที่ทหารกองหนุนของมู่อ๋องซึ่งรักษาการณ์อยู่ที่อวิ๋นหนานจะยกทัพมาช่วย บิดาได้นำทหารและชาวบ้านรักษากำแพงเมืองเอาไว้อย่างยากลำบาก ต่อต้านชาวอี๋อยู่สามวันสามคืน มีผลงานอันโดดเด่นในการศึกสงครามปราบปรามชาวอี๋
หลังสงครามยุติ มู่อ๋องถวายฎีกากราบทูลว่าเป็นผู้มีความชอบ และได้สนับสนุนชื่นชมบิดาของนางเป็นอันมาก ภายหลังบิดาของนางจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นที่ปรึกษาฝ่ายขวาของสำนักการปกครอง ประจำการที่อวิ๋นหนานอยู่สามปี
ช่วงสามปีนี้เอง บิดาของนางได้แต่งงานกับมารดาและให้กำเนิดฟู่เหยียนชิ่งผู้เป็นพี่ชายของนาง ได้ยินมาอีกว่าจวนเก่าหลังนี้ก็ถูกสร้างขึ้นในตอนนั้นเอง
หลังจากนั้นมา เนื่องจากความชอบที่ได้ช่วยมู่อ๋องปราบปรามการก่อจลาจลและทำให้ดินแดนภายในของอวิ๋นหนานสงบราบคาบลงได้ในที่สุด บิดาของนางจึงได้ย้ายกลับเข้าเมืองหลวง และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นอย่างราบรื่นเรื่อยมา
พูดได้ว่าเมืองชวีจิ้งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตการเป็นขุนนางของบิดา จากขุนนางสามัญเป็นขุนนางผู้เรืองอำนาจแห่งยุค ชวีจิ้งจึงถือเป็นเสมือนหลักศิลาที่บิดาได้สร้างผลงานไว้อย่างมาก ทว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เวลาผันผ่านเรื่องราวก็ผันแปร เกรงว่าแม้แต่ตัวบิดาของนางเองก็คงคาดไม่ถึงว่ายี่สิบปีให้หลัง เขาจะได้กลับไปยังอวิ๋นหนานอีกครั้ง ทั้งยังถูกกระหน่ำตีจนร่วงหล่นลงมาจากยอดเมฆชนิดที่ตั้งตัวไม่ทันอีกด้วย
นางทอดถอนใจแผ่วเบาแล้วถอนสายตากลับมา หันหลังก้าวขึ้นรถม้า หนทางข้างหน้าเวิ้งว้างกว้างใหญ่ นางไม่มีเวลาจะมาเสียอกเสียใจ ขอเพียงบิดายังมีชีวิตอยู่ต่ออีกวัน นางจะไม่ยอมถอดใจยอมแพ้อย่างเด็ดขาด