ฟู่หลันหยาแอบชื่นชมในใจว่าคนเหล่านี้ฝึกฝนมาดีทีเดียว เห็นพวกเขาจะเข้ามาก็ตีหน้าขรึมแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้มีโจรบุกเข้ามาลอบทำร้าย ใต้เท้าผิงมาพบเห็นทันเวลา จึงไล่ตามคนผู้นั้นไปแล้ว”
ว่าแล้วก็อธิบายอีกว่า “โจรผู้นั้นเข้ามาทางหน้าต่างห้องพักที่อยู่ติดกัน แล้วกระโดดหนีออกไปทางเดิม”
ทุกคนเข้าใจทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงไม่กล้าชักช้า รีบแบ่งกำลังคนออกเป็นสองทาง
ทางหนึ่งกลับไปที่ห้องข้างๆ กระโดดตามลงไปทางหน้าต่าง เพื่อจะตามไปช่วยเป็นกำลังเสริมให้ผิงอวี้
อีกทางกลับไปที่โถงทางเดินแล้ววิ่งลงชั้นล่าง วางแผนกระจายกำลังกันโอบล้อมคนร้ายเพื่อประสานงานกันทั้งด้านในและด้านนอก
เดิมทีหวังซื่อเจาก็อยู่ในหมู่คนที่วิ่งมาด้วย แต่พอเดินตามทุกคนที่กำลังจะออกไปแล้วได้สองก้าว เห็นว่าองครักษ์คนอื่นคงจะแยกย้ายกันไปจนหมดในไม่นาน จู่ๆ ก็เกิดความคิดบางอย่าง หันกลับไปมองฟู่หลันหยาที่อยู่ในห้อง เขาชะงักเท้า จากนั้นก็หันร่างกลับเดินเข้าไปในห้อง
แม่นมหลินรู้สึกหวาดกลัวหวังซื่อเจามาโดยตลอด ความกลัวที่มีต่อเขายังมากกว่าที่มีต่อผิงอวี้เสียอีก เห็นคนผู้นี้เดินออกไปแล้ววกกลับเข้ามาด้วยดวงตาวาวโรจน์ ก็ไม่ทราบว่าเขามีเจตนาใดกันแน่ ประหนึ่งมีสัญญาณเตือนดังขึ้นในใจนางอย่างฉับพลัน มองดูเขาด้วยแววตาระแวดระวังราวกับกำลังเผชิญหน้าศัตรูตัวฉกาจ
หวังซื่อเจาเดินเข้าไปหาฟู่หลันหยา แม้นางจะตกใจจนหวาดกลัว สีหน้าตื่นตระหนก ทว่าดวงตายังวาววามเป็นประกาย ริมฝีปากชมพูระเรื่อราวกับดอกอิงฮวาในยามวสันต์
เขามองดูจนปากคอแห้งผาก จู่ๆ ก็คืบเข้าหาฟู่หลันหยาอีกก้าว มองดูนางด้วยสีหน้ายิ้มๆ “คุณหนูฟู่คงตกใจแย่แล้ว”
แม่นมหลินมองดูอย่างอกสั่นขวัญผวา สายตาที่บุรุษใช้มองเช่นนี้มีความหมายอย่างไรนางย่อมรู้ดีที่สุด เห็นเขาเข้ามาใกล้คุณหนูมากขึ้นทุกทีก็ประหวั่นพรั่นพรึง รวบรวมความกล้าแล้วพูดว่า “ใต้…ใต้เท้า ใต้เท้าผิงน่าจะกลับมาในไม่ช้า”
นางรู้ว่าแม้องครักษ์เสื้อแพรจะมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องความโหดเหี้ยม ทว่าเนื่องจากได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้มาก คนที่จะเข้ามาเป็นองครักษ์เสื้อแพรได้ส่วนมากจึงเป็นลูกหลานตระกูลดี
หลังถูกตรวจค้นบ้านยึดทรัพย์จนถึงถูกคนลอบทำร้ายในคืนนี้ แม่นมหลินก็คอยเฝ้าสังเกตดูท่าทีผู้คนที่อยู่รอบข้างตลอด พวกเขายังนับว่าเอื้อเฟื้ออยู่ มีเพียงหวังซื่อเจาผู้นี้ที่ดูเหมือนจะแอบแฝงเจตนาไม่ดีต่อคุณหนูอย่างโจ่งแจ้ง
แม่นมหลินทั้งเกลียดทั้งกลัว ด้วยรู้ว่าหวังซื่อเจาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผิงอวี้ จึงจงใจอ้างชื่อใต้เท้าผิงออกมาเผื่อจะทำให้เขานึกเกรงกลัวขึ้นมาบ้าง
ใครเลยจะรู้ นางไม่พูดถึงผิงอวี้ก็คงไม่เป็นไร แต่พอพูดถึงขึ้นมา ความขุ่นเคืองที่หวังซื่อเจาได้รับมาหลายวันนี้ก็สะกดไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ไฟแค้นที่เก็บกดไว้พลันพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที
การเดินทางมายังอวิ๋นหนานคราวนี้ เขาตั้งใจจะมาหาฟู่หลันหยาโดยเฉพาะ ทว่าตั้งแต่ได้พบหน้าครั้งแรกจนกระทั่งบัดนี้ เขากลับไม่ได้แตะต้องนางแม้แต่ชายแขนเสื้อ สาเหตุหนึ่งย่อมต้องเป็นเพราะผิงอวี้จงใจวางตัวเป็นศัตรูกับเขา แต่เหตุใดทั้งฟู่หลันหยาและบ่าวของนางจึงไม่รับรู้ความชื่นชมพอใจของเขาบ้างเลย
ในการทำงานเขามักจะใช้ไม้อ่อนก่อนจะใช้ไม้แข็งตลอดมา ‘ไม้อ่อน’ ที่ว่านั้นเขาถามตนเองแล้วก็คิดว่าใช้มามากพอแล้ว ทว่าบ่าวหญิงผู้นี้ที่ดูไม่ต่างอะไรกับสุนัขกลับทำเป็นเย่อหยิ่งหัวสูง ตอนที่คุณหนูของนางอยู่ในห้องเดียวกับผิงอวี้ ไยไม่ออกมาเอะอะโวยวายบ้างเล่า เวลานี้เขาก็แค่อยากพูดคุยกับฟู่หลันหยาบ้างเท่านั้นเอง…ยายแก่นี่ทำเป็นเต้นแร้งเต้นกาเสียอย่างนั้น ช่างน่ารังเกียจจริงๆ