ตราบจนถึงยามค่ำก็ได้ยินเสียงผู้คนดังจอแจสองข้างทาง เหมือนว่าเดินทางมาถึงสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านแล้ว แม่นมหลินเขยิบไปที่ด้านหน้ารถ เลิกม่านขึ้นแล้วกวาดตามอง ก็เห็นกำแพงเมืองที่สูงตระหง่าน ข้างประตูเมืองมีทหารคอยเฝ้ารักษาการณ์ มีคนเดินผ่านเข้าออกตรงด่านไม่น้อย
นางไม่กล้ามองนานก็รีบปล่อยม่านลง แล้วหันมาพูดกับฟู่หลันหยา “คุณหนู ดูเหมือนจะมาถึงเมืองชวีถัวแล้วเจ้าค่ะ”
ฟู่หลันหยาทำเสียงอืมรับรู้ ดูจากสถานการณ์แล้วคืนนี้คงจะต้องพักที่นี่
ตั้งแต่สมัยหยวนเหนือเป็นต้นมา เมืองชวีถัวก็เป็นด่านสำคัญทางการทหารของมณฑลอวิ๋นหนาน มีกำลังทหารเฝ้ารักษาการณ์ที่นี่อย่างแน่นหนามาทุกยุคทุกสมัย บัดนี้มู่อ๋องซื่อจื่อนำกำลังทหารมาเฝ้าประจำการที่เมืองชวีถัว มู่อ๋องมีกำลังพลทั้งม้าและทหารที่เข้มแข็งจนเป็นที่เลื่องลือ ชาวอี๋ยำเกรงบารมีของมู่อ๋อง จนไม่กล้าเข้ามาก่อกวน หลายปีมานี้เมืองชวีถัวจึงมีจำนวนผู้คนเพิ่มมากขึ้น
รถม้าเพิ่งจะหยุดลงก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าควบตะบึงดังแว่วมา ฟังแล้วเหมือนกำลังห้อเต็มเหยียดมาทางนี้ ขณะที่กำลังนึกสงสัยก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าของชายหนุ่มผู้หนึ่ง “เจ๋ออี้ ได้ข่าวมาตั้งแต่สองสามวันก่อนว่าเจ้าจะเดินทางมาอวิ๋นหนาน ข้าคิดว่าพอเจ้าทำภารกิจเสร็จจะต้องเดินทางผ่านมาทางชวีถัวแน่ จึงรอต้อนรับเจ้าอยู่นานแล้ว”
ฟู่หลันหยามีความจำเป็นเลิศ ได้ยินเสียงนี้ก็รู้สึกคุ้นหู พอคิดทบทวนดูก็นึกออกว่าเป็นเสียงมู่เฉิงปินบุตรชายของมู่อ๋อง ตอนที่บิดาของนางถูกย้ายมาที่อวิ๋นหนาน ก็เคยพานางไปที่วังของมู่อ๋องเช่นกัน ตอนนั้นนางนั่งอยู่ในรถม้านอกวัง ได้ยินเสียงเขากับบิดาของนางพูดคุยทักทายกันตามมารยาท
แต่ ‘เจ๋ออี้’ ที่เขาพูดถึงเป็นใครกัน
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ได้คำตอบ ได้ยินเสียงผิงอวี้ทักทายกลับไปว่า “จ้งเหิง ไม่ได้พบกันนาน ไม่คิดว่าเจ้าจะมาต้อนรับถึงนอกเมือง”
ฟู่หลันหยาหลุบตาลง ฟังจากน้ำเสียงของคนทั้งสองแล้วเหมือนว่ารู้จักมักคุ้นกันมานาน แต่ก็ไม่รู้ว่าที่มู่เฉิงปินต้อนรับอย่างสนิทสนมเช่นนี้เป็นเพราะเกรงขามเหล่าองครักษ์เสื้อแพรหรือไม่
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนอีกผู้หนึ่งพูดขึ้น “เจ๋ออี้”
เสียงของชายผู้นี้ทุ้มต่ำอ่อนโยน ขณะที่พูดดูมีน้ำเสียงที่ระแวดระวังอยู่หลายส่วน
ข้างนอกเงียบกริบลงทันที ผ่านไปนานจึงค่อยมีเสียงผิงอวี้พูดขึ้นเรียบๆ “ข้าก็นึกว่าใครเสียอีก ที่แท้ก็คุณชายเติ้งนี่เอง” น้ำเสียงที่พูดฟังดูทั้งห่างเหินทั้งเย็นชา
ฟ้าเริ่มมืด สามคนนี้ทักทายกันตามมารยาทแล้วจึงสั่งให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาเดินทางเข้าไปในเมือง
แต่ยามมาถึงด้านหน้าวังมู่อ๋อง ผิงอวี้กลับไม่อยากจะเข้าไป เพียงแค่ยิ้มแย้มแล้วกล่าวคำอำลา “จ้งเหิง วันนี้ข้ามีภารกิจ ไม่สะดวกจริงๆ เอาไว้คราวหน้ากลับมาพักผ่อน ข้าจะมาดื่มกับเจ้าให้สาแก่ใจ”
ฟู่หลันหยาตั้งใจฟังอยู่ในรถ แอบคาดเดาว่าผิงอวี้คงไม่อยากจะมีความเกี่ยวข้องอันใดกับขุนนางใหญ่เมืองชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นที่คลางแคลงใจของผู้มีอำนาจ หากภายหลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าระแวงสงสัย
มู่เฉิงปินได้ยินแล้วแต่มิได้ใส่ใจอันใด กลับยิ้มให้แล้วเอ่ยว่า “เจ้ามีภารกิจมาก กว่าจะได้พักแล้วค่อยมาดื่มสุรากับข้าอีกก็ไม่รู้ว่าจะได้ดื่มปีใดเดือนใด อีกอย่าง ข้าต้องบอกเจ้าก่อนว่าในเมืองชวีถัวมีโรงเตี๊ยมใหญ่เพียงแห่งเดียว เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ไปเมื่อสองสามวันก่อน ยังซ่อมแซมอยู่จนถึงบัดนี้ คืนนี้ต่อให้เจ้าไม่อยากรบกวนข้าก็คงทำไม่ได้หรอก…”
เขายังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ก็หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เจ้าอย่ามองข้าเช่นนั้นสิ โรงเตี๊ยมแห่งนี้ข้าไม่ได้เป็นคนวางเพลิง ตอนที่เกิดเหตุ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้ามาที่อวิ๋นหนาน”