แม่นมหลินดีใจราวกับได้สมบัติล้ำค่า รีบกล่าวขอบคุณเป็นการใหญ่ รอจนคนรับใช้วังมู่อ๋องออกไปแล้ว ด้วยเกรงว่าฟู่หลันหยาจะเดินเหินไม่สะดวก จึงคอยอยู่รับใช้ฟู่หลันหยาอาบน้ำอย่างระมัดระวัง
ฟู่หลันหยาอาบน้ำแล้วก็มากินอาหารจนเสร็จ นางรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก หลังจากนั้นก็เอนร่างลงนอนที่เก้าอี้ยาว อดหวนคิดถึงชายาผู้นั้นของมู่เฉิงปินไม่ได้
แม้นางจะติดตามบิดามาอยู่ที่อวิ๋นหนานตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน ทว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ก็ล้วนอาศัยอยู่ในเมืองจิงเฉิง ประกอบกับสองปีที่ผ่านมาบิดาประสบกับความยากลำบากในงานราชสำนัก จึงรักษาระยะห่างจากทั้งมู่อ๋องผู้บิดาและบุตรมาเสมอ
ด้วยเหตุนี้แม้นางจะอยู่ที่อวิ๋นหนาน แต่ก็แทบไม่ได้ไปมาหาสู่กับชายาซื่อจื่อเลย รู้เพียงว่าอีกฝ่ายเป็นบุตรีคนโตของเจิ้นหย่วนโหว เป็นหญิงที่สง่างาม ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างสุภาพและเป็นมิตร มีสัมพันธ์อันดีกับบรรดาตระกูลชั้นสูงที่มีอำนาจในเมืองหลวงหลายตระกูล
ยังได้ยินมาอีกว่าตั้งแต่นางแต่งงานเข้าสกุลมู่ สามีภรรยาก็รักใคร่กลมเกลียว แต่งงานกันมาหลายปีทั้งสองก็มีบุตรชายหนึ่งคน บุตรีหนึ่งคน
แต่ดูจากหญิงสาวที่ได้พบกันโดยบังเอิญตอนที่เข้ามาในจวน มากกว่าครึ่งหญิงสาวผู้นั้นน่าจะเป็นอนุภรรยาที่มู่เฉิงปินเพิ่งรับเข้าวังมาได้ไม่นาน จากคำพูดที่ได้ยิน ดูเหมือนนางจะเป็นที่โปรดปรานของมู่เฉิงปิน และไม่ทราบว่าที่ชายาของมู่เฉิงปินล้มป่วยนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่
ขณะครุ่นคิดจนใจลอย จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นในลานเรือน ผ่านไปสักครู่ก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม นางเอามือค้ำพนักพิงหลังแล้วยืดตัวขึ้น คอยฟังเสียงความเคลื่อนไหวในลานเรือนอย่างตั้งใจ
จากนั้นก็ได้ยินมู่เฉิงปินตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “คืนนี้เกิดไฟไหม้ในวัง มีชาวอี๋ลอบเข้ามาในวังได้ ข้าสงสัยว่าจะมีคนในเป็นสาย จึงได้เรียกตัวพวกเจ้ามาไต่สวน!”
พอพูดออกไปเช่นนี้ก็เกิดเสียงกระซิบกระซาบดังหึ่งๆ ขึ้นทันที
มู่เฉิงปินกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “สกุลมู่ของข้าปกป้องชายแดนที่อวิ๋นหนานมานานปี ชื่อเสียงน่าเกรงขามจนเป็นที่เลื่องลือ ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเข้มงวด เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ต้องมีการตรวจสอบและลงโทษอย่างรุนแรง หลังจากนี้จะมีการไต่สวน พวกเจ้าต้องให้การตามตรง ห้ามปิดบังอำพราง ผู้ใดกล้าหลบเลี่ยงบิดเบือนโกหก จะถูกลากออกมาโบยโดยไม่มีการยกเว้น”
เวลานี้แม่นมหลินเก็บสำรับอาหารบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว กำลังจะเดินไปนั่งลงใกล้ๆ ฟู่หลันหยาที่เก้าอี้ยาว พอได้ยินเช่นนี้ก็เดาะลิ้นพลางเอ่ยว่า “สมแล้วที่เป็นมู่อ๋องซื่อจื่อ เห็นเป็นคนสุภาพ แต่พอโกรธขึ้นมาก็ดูทรงอำนาจประหนึ่งอสนีบาต คุณหนูว่า แม้แต่ซื่อจื่อยังดูร้ายกาจถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่ามู่อ๋องที่รักษาการณ์อยู่ที่เมืองคุนหมิงจะยิ่งน่าเกรงขามดุจมีสามเศียรหกกรสักปานใด”
ฟู่หลันหยาไม่พูดอะไร เพียงแค่สงสัยใคร่รู้ว่าทั้งสองคนนั้นเตรียมใช้วิธีการใดหาตัวหนอนบ่อนไส้ออกมา ก่อนจะได้ยินเสียงผิงอวี้พูดอย่างเรียบๆ และดูผ่อนคลายว่า “บัดนี้อวิ๋นหนานมีข้าหลวงปกครองท้องถิ่นทั้งใหญ่น้อยเกินกว่าร้อยคน ในจำนวนเหล่านี้แทบทุกคนมีความรู้ในไสยเวท ตอนที่ยังมาไม่ถึงชวีถัว เคยมีชาวอี๋อีกคนบุกเข้ามาลอบทำร้ายในยามวิกาล คนผู้นั้นมีวิชาที่แปลกพิสดาร สามารถใช้ขลุ่ยไผ่ยิงอาวุธลับได้ ตอนที่มาถึงวังมู่อ๋องเมื่อตอนย่ำค่ำ ข้าได้ฟังเรื่องนี้จากซื่อจื่อแล้ว แม้ซื่อจื่อจะรู้อย่างละเอียดถึงวิถีของชาวอี๋ แต่มีเพียงเรื่องอาวุธลับนี้เท่านั้นที่ไม่ทราบอะไรเลยสักอย่างเกี่ยวกับมัน”
ข้างนอกเงียบกริบลงทันใด ฟู่หลันหยายิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ ในเมื่อ ‘ไม่ทราบอะไรเลยสักอย่าง’ ไฉนจึงประกาศต่อหน้าทุกคน ถ้ามีคนร้ายแอบแฝงอยู่ในหมู่คนพวกนี้จริง พอได้ยินคำพูดนี้จะมิกลายเป็นผู้ร้ายปากแข็งที่ไม่ยอมรับสารภาพอะไรสักอย่างไปแล้วหรือ