อีกด้านหนึ่ง ผู้ที่กำลังคาดเดาถึงความสามารถของเหยียนตี้ดุจเดียวกันก็ยังมีฉินโยวโยวอีกคน
เมื่อครู่เหยียนตี้มิได้ลงมือเอง แต่พลังที่แผ่ออกมาในชั่วพริบตาที่เดินผ่านเยี่ยหรูเหนียนนั้นน่ากลัวยิ่งยวด พิจารณาจากความรู้ที่ฉินโยวโยวมี อย่างน้อยคนผู้นี้ก็เป็นระดับยอดยุทธ์!
ทว่ายอดยุทธ์ที่อายุน้อยถึงเพียงนี้…จิตใจฉินโยวโยวเสียสมดุลขึ้นมาอย่างร้ายแรง ต่อให้เขาเริ่มฝึกตนทันทีที่ออกมาจากครรภ์มารดาก็ไม่มีทางเป็นยอดยุทธ์ได้ตั้งแต่อายุยี่สิบปีกระมัง จะต้องเป็นตนเองคิดมากเกินไปแน่นอน
ยังไม่ขอกล่าวถึงความสามารถของตัวเขา ดูแค่บรรดาลูกน้องที่เขาสั่งให้ลงมือในวันนี้แล้วก็น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างน้อยขั้นห้าขั้นหกทั้งสิ้น สามารถทำให้คนระดับนี้ยินยอมพร้อมใจฟังคำสั่งของเขาได้ หากไม่ใช่เพราะเขามีฐานะสูงจนน่าตกใจก็ต้องเป็นเพราะความสามารถของเขาแข็งแกร่งเกรียงไกรถึงขีดสุด
ฟังจากสำเนียงเขาเป็นชาวเซียงเยวี่ย อีกทั้งในคำพูดคำจาก็คล้ายว่าแคว้นเซียงเยวี่ยคือบ้านของเขา เช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่าจะเป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์แคว้นเซียงเยวี่ย มิน่าถึงได้เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา บอกจะฆ่าก็ฆ่า
ฉินโยวโยวไม่มีทางเห็นใจคนที่ตามจับและทำร้ายนาง กระนั้นก็ยังเกิดใจหวาดกลัวระแวงระวังห่างเหินต่อเหยียนตี้ที่ลงมือโหดเหี้ยมแปดเปื้อนคาวเลือดเช่นเดียวกัน
ตนเองเพิ่งจะได้รับความเสียหายหนักที่แคว้นตัวลี่มา ขอให้ไปแคว้นเซียงเยวี่ยแล้วอย่าได้โชคร้ายซ้ำอีก คิดถึงตรงนี้ฉินโยวโยวก็ยิ่งนึกดีใจที่ก่อนหน้านี้ตนเองไม่ได้เปิดเผยฐานะให้เหยียนตี้รู้
เห็นชัดว่าคนผู้นี้เป็นเจ้าแห่งการฆ่าคน นางต้องตามหาสัตว์วิเศษทั้งสองของตนกลับมาให้ได้เร็วที่สุด หลังจากนั้นหลบหายไปไกลได้เท่าไรก็ยิ่งดี
ฉินโยวโยวคิดคำนวณกับตนเองมาตลอดทาง จวบจนเหยียนตี้ที่เบื้องหน้าหยุดฝีเท้าลง
“เจ้าขี่ม้าเป็นหรือไม่” เหยียนตี้พลันหันมาถาม
“หา? มะ…ม้า?!” ใจฉินโยวโยวที่ลอยไปไกลกลับเข้าที่ นางได้ยินคำถามของเหยียนตี้ชัด และก็มองเห็นชัดเช่นกันว่าเบื้องหน้ามีม้าแดงตัวสูงใหญ่บึกบึนเพิ่มมาตัวหนึ่ง เสียงจึงสูงขึ้นอีกแปดระดับทันที
ตอนยังเล็กนางเคยห่วงเล่น ไปขี่ลูกม้าตัวหนึ่งที่มีคนมอบให้อาจารย์ ผลคือนางถูกสะบัดตกจากหลังม้า หวิดจะคอหัก นอนอยู่บนเตียงหนึ่งเดือนเต็มๆ ถึงจะหายดี นับแต่นั้นมาก็ไม่ยอมเข้าใกล้สัตว์น่าสยดสยองอย่างม้าอีกเลย
เหยียนตี้ไม่เข้าใจว่านางกำลังกลัวอะไร แต่ก็คร้านจะถามความเห็นนางอีก จึงพลิกตัวขึ้นม้าแล้วใช้มือหนึ่งยกตัวนางขึ้นมาวางบนตักตนเองทันที
ฉินโยวโยวถูกทำให้ตกใจจนแทบเปล่งเสียงกรีดร้องออกมา นางเกลียดม้า และยิ่งกลัวความรู้สึกน่ากลัวยามนั่งอยู่บนหลังม้าที่สูงห่างจากพื้นหลายฉื่อ* อยู่ในสถานการณ์ที่สามารถตกลงไปได้ทุกเวลาเช่นนี้
“ข้า…ข้า…ข้าไม่อยากขี่ม้า!” ฉินโยวโยวออกแรงดิ้นหมายจะกลับลงพื้น
เหยียนตี้ทำหน้าเข้มพลางตวาดเสียงเย็น “หุบปาก! ห้ามขยับ!” สตรีนางนี้ไม่เข้าใจสักนิดว่านางกำลังนั่งแนบชิดกับบุรุษ การขยับตัววุ่นวายนับเป็นการท้าทายครั้งใหญ่เพียงไรต่อความสามารถในการควบคุมตนเองของบุรุษ
ความน่าเกรงขามที่เหยียนตี้แผ่ออกมาโดยไม่รู้ตัวทำให้คนหวาดกลัวจากใจ ฉินโยวโยวถูกจับร่างให้อยู่กับที่ สตินางเริ่มกลับมาเล็กน้อย ก่อนจะบีบน้ำตาร้องไห้ฮือๆ พลางเอ่ยว่า “ข้ากลัว ข้าไม่อยากขี่ม้า…”
เหยียนตี้ขมวดคิ้วไม่สนใจนาง มือหนึ่งโอบเอวนางไว้ อีกมือก็จับบังเหียน ม้าแดงห้อตะบึงออกไปดั่งลูกศรออกจากสาย
ฉินโยวโยวตกใจจนใบหน้าถอดสี นางไม่มีเวลาให้มัวมาแกล้งร้องไห้อีก ยามนี้แทบจะใช้ทั้งแขนทั้งขาจับเหยียนตี้เอาไว้แน่น กลัวแต่ว่าเสี้ยวเวลาถัดไปจะถูกโยนลงจากหลังม้า
คนตรงหน้าคือผู้มีพระคุณเสียที่ไหน เป็นอันธพาลชัดๆ!
ฉินโยวโยวไม่รู้ว่าตนเองลงมาจากม้าได้อย่างไร หลังนางได้รับบาดเจ็บร่างกายก็อ่อนแอมากอยู่แล้ว ด้วยอารามตื่นตกใจจึงเกร็งขมึงไปทั้งร่าง ตัวสั่นตัวคลอนอยู่บนม้าได้ครู่เดียวในที่สุดก็ทนไม่ไหวหมดสติไป
ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็นอนอยู่บนเตียงแล้ว กระดูกในร่างคล้ายกับเคลื่อนหลุดออกจากที่ไปแล้ว เป็นครึ่งค่อนวันกว่านางจะผลักผ้าห่มลุกขึ้นนั่งได้อย่างเปลืองแรง
คลับคล้ายมีเสียงสุนัขเห่าและเสียงคนบอกเวลาเคาะเกราะไม้ไผ่ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ น่าจะเป็นยามจื่อ แล้ว ฉินโยวโยวจับหัวเตียงพยุงตัว คิดจะลงจากเตียงไปจุดตะเกียงหาน้ำดื่ม จู่ๆ ตรงหน้าก็มีแสงไฟวาบขึ้นมาทันที
เงาร่างของเหยียนตี้ปรากฏอยู่ท่ามกลางแสงสลัวจากตะเกียง ฉินโยวโยวลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนเปิดปากหยั่งเชิง “ผู้มีพระคุณ ดึกถึงเพียงนี้แล้ว ท่าน…” เหยียนตี้ยังอยู่ในชุดเมื่อตอนกลางวัน ฉินโยวโยวแน่ใจในฐานะของเขาด้วยอาศัยจุดนี้
ดึกดื่นเที่ยงคืนแอบเข้าห้องหญิงสาว เขาคิดจะทำอะไร!