แต่ต่อให้นางฉลาดเพียงใดก็ไม่มีทางเอาชนะเขาที่เล่นมาก่อนได้ในเวลาเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ฉินโยวโยวสู้กับเหยียนตี้ตามลำพังโดยไม่มีคำชี้แนะใดๆ เป็นครั้งแรก แล้วก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ยับเยินอย่างไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย
ในใจนางไม่ใส่ใจเรื่องแพ้ชนะเล็กๆ นี้โดยสิ้นเชิง เพียงเงยหน้าพูดด้วยสองตาเป็นประกาย “ไปช่วยต้าจุ่ยให้ข้าได้แล้วใช่หรือไม่”
เหยียนตี้ถูกดวงตางดงามคู่นั้นของฉินโยวโยวมองจนจิตใจแกว่งไกว เขาพยักหน้าอย่างห้ามตนเองไม่ได้
ฉินโยวโยวอุ้มเสี่ยวฮุยขึ้นมาก่อนพูดกับเหยียนตี้ด้วยความดีใจ “ข้าไปกับท่านด้วยได้หรือไม่ เสี่ยวฮุยหูไวยิ่ง ขอแค่เข้าไปในสกุลเหวินได้ จะต้องหาสถานที่ที่ขังต้าจุ่ยรวมถึงกับดักกลไกจำนวนมากในสกุลเหวินได้แน่นอน”
เสี่ยวฮุยซบอยู่ในอ้อมแขนฉินโยวโยว มันไม่ยอมกวาดมองเหยียนตี้แม้แต่หางตา ท่าทางดื้อดึงปฏิเสธจะสนทนาข้องแวะกับเขาโดยสิ้นเชิง
เหยียนตี้คร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับสัตว์วิเศษตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง เขาใคร่ครวญลังเลอยู่ชั่วครู่โดยไม่ตอบอะไร
เหลียงลิ่งก้าวมารายงานว่าตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ครั้นได้ยินว่าฉินโยวโยวอยากไปด้วยก็เอ่ยโน้มน้าว “แม้สกุลเหวินจะเป็นหัวหน้าของสามตระกูลใหญ่ด้านวิชากลไกของใต้หล้า ทว่าที่นี่เป็นเพียงสาขาชายแดนเล็กๆ ที่อยู่ในแคว้นเซียงเยวี่ยของพวกเขาเท่านั้น ต่อให้กับดักกลไกร้ายกาจเพียงใดก็มีขีดจำกัด แม่นางฉินรั้งอยู่ที่นี่จะปลอดภัยกว่า”
ฉินโยวโยวส่ายศีรษะ เพื่อช่วยให้ต้าจุ่ยออกมาอย่างปลอดภัย นางก็ทำได้เพียงบอกเรื่องที่ตนเองรู้ออกมา “ห้าปีก่อนข้าตามอาจารย์มาเยี่ยมสหายที่นี่ คนผู้นั้นมีนามว่าเหวินเฟิงเซิ่ง มาจากสายรองของสกุลเหวินพอดี และก็เป็นผู้ดูแลสกุลเหวินในเมืองนี้ด้วย อาจารย์เคยบอกข้าว่าหากกล่าวถึงวิชากลไก คนในสกุลเหวินก็ไม่มีใครสู้เหวินเฟิงเซิ่งได้แม้แต่คนเดียว คฤหาสน์สกุลเหวินที่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองก็ได้เหวินเฟิงเซิ่งเป็นผู้ออกแบบ ข้างในมีกับดักกลไกทำร้ายคนไม่มาก แต่เรือนที่เหวินเฟิงเซิ่งพักนั้นกลับซ่อนความลับของเขาไว้มากมาย ไม่ว่าใครก็ยากเข้าออกได้ หากต้าจุ่ยถูกพวกเขาขังไว้ที่นั่น ต่อให้พวกท่านคิดจะช่วยมันออกมาก็คงไม่ง่าย”
เหวินเฟิงเซิ่งสามารถรับคำวิจารณ์อันสูงส่งเพียงนี้จากมือเทพเนรมิตฉีเทียนเล่อได้ย่อมจะไม่ใช่คนธรรมดา แต่เหยียนตี้กับเหลียงลิ่งไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเขามาก่อนจริงๆ อีกทั้ง…
เหลียงลิ่งพูดขึ้นด้วยความแปลกใจ “ข้าส่งคนไปสืบดูแล้ว ผู้ดูแลสกุลเหวินในเมืองนี้หาใช่เหวินเฟิงเซิ่งไม่”
“เอ๊ะ? หรือว่าพวกเขาเปลี่ยนคนแล้ว มิน่าถึงได้คิดจะเล่นงานอาจารย์ อาจารย์บอกว่าเหวินเฟิงเซิ่งเป็นคนไม่เลวเลย…” ฉินโยวโยวก็หลงนึกว่าอาจารย์กับนางถูกสุภาพบุรุษจอมปลอมหลอกเข้าแล้วเสียอีก ที่แท้คนที่ทำเรื่องไม่ดีไว้ก็มิใช่เหวินเฟิงเซิ่ง…โชคดี โชคดีแล้ว
“เจ้ายังรู้เรื่องของสกุลเหวินกับเหวินเฟิงเซิ่งอีกเท่าไร” เหยียนตี้ถาม
ฉินโยวโยวเป็นห่วงสถานการณ์ของต้าจุ่ยจึงเอ่ยว่า “ข้าค่อยๆ เล่าให้ท่านฟังระหว่างทางดีหรือไม่”
เหยียนตี้พยักหน้า เขารับหน้ากากสองอันมาจากเหลียงลิ่ง อันหนึ่งใส่เอง อีกอันยื่นให้ฉินโยวโยว “จากนี้อย่าวิ่งไปไหนวุ่นวาย อยู่ข้างๆ ข้าอย่างว่าง่ายด้วย”
“ข้าทราบแล้ว” คำของเหยียนตี้ฟังดูคุ้นหูยิ่ง…ตอนยังเล็ก ยามอาจารย์พานางออกมาข้างนอกก็มักจะกำชับนางเช่นนี้ ฉินโยวโยวนึกถึงอาจารย์ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ในใจก็หม่นหมองอยู่บ้าง
เหยียนตี้พอใจกับท่าทางที่ดูเชื่อฟังของฉินโยวโยวเป็นอย่างยิ่ง จึงยื่นมือไปจับแขนนางแล้วพาเดินออกไปข้างนอก ฉินโยวโยวจมอยู่กับเรื่องในอดีต ถึงกับไม่สังเกตเห็นอากัปกิริยาที่ใกล้ชิดสนิทสนมจนเกินพอดีนี้
ต่อให้นางสังเกตเห็นแล้ว ด้วยความทึ่มทื่อในบางด้านของนางคาดว่าก็คงไม่คิดไปในทางอื่น ใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชาของเหยียนตี้ทำให้คนไม่อาจคิดเชื่อมโยงเขาเข้ากับพวกบ้าตัณหาหมาป่าราคะได้เลยสักนิด
ขณะที่เหยียนตี้พาฉินโยวโยวเดินมาถึงลานเรือน เหล่าองครักษ์อย่างพวกสือเอ้อร์หลางก็เปลี่ยนมาใส่ชุดดำและหน้ากากเตรียมตัวพร้อมแล้ว คนทั้งหลายทำความเคารพเหยียนตี้กันอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะหายตัวไปท่ามกลางความมืดยามราตรีอันเงียบเชียบอย่างไร้สุ้มเสียง
คืนนี้พระจันทร์อ่อนแสง ดวงดาวบางตา เหมาะแก่การปล้นบ้านฆ่าคนวางเพลิงเป็นพิเศษ