หยางหวั่นมองเงาด้านหลังของเติ้งอิงที่อยู่ระหว่างตู้ไม้โบราณเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน
ในตู้มีเสื้อผ้าชุดชั้นในของเขา เสื้อตัวกลางที่ซักและลงแป้งบางๆ หลายตัวพับซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ด้วยกัน แทบทั้งหมดทำจากผ้าแพร สาดประกายเยียบเย็นแต่ไม่นับว่าแห้งแล้งเกินไปคล้ายผิวพรรณของเขา
ก่อนหน้านี้เติ้งอิงบอกว่าเขาอยากซื้อเรือนที่นอกวังหลังหนึ่ง หยางหวั่นเองก็รู้สึกว่าดีมาก
แต่เทียบกับเรือนที่นอกวังแล้ว เรือนพักข้างคูน้ำป้องกันวังแห่งนี้ต่างหากจึงจะเป็นสถานที่ที่ทำให้หยางหวั่นสบายใจที่สุด
สถานที่นี้เหมือนกับเติ้งอิงผู้นี้ สะอาดสะอ้านไร้มลทิน ยามไร้ผู้คนแม้จะหันหลังให้แสงจากท้องฟ้า บนพื้นเต็มไปด้วยเงาสิ่งของ แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกมืดมนแม้แต่น้อย
เมื่อเขาพำนักอยู่ที่นี่ จิตวิญญาณของหยางหวั่นก็สามารถพักอาศัยอยู่ในโลกเมื่อหกร้อยปีก่อนแห่งนี้ได้
แม้ผู้คนและสิ่งของนอกพื้นที่แห่งนี้จะขัดต่อสามทัศนะในช่วงเกือบสามสิบปีก่อนหน้าของนาง แต่ขอเพียงเติ้งอิงยังสามารถหยิบเสื้อที่ไม่มีคราบโลหิตออกจากตู้ ยังสามารถจุดตะเกียงในคืนฤดูใบไม้ร่วง ยังสามารถนั่งกินบะหมี่หยางชุนกับนางได้ นางก็ไม่นับว่าเป็นฝุ่นในปรัชญาอัตถิภาวนิยม ที่ถูดพัดพามาโดยบังเอิญเม็ดนั้น
“แล้ว…ข้าใส่เสื้อตัวในของท่านได้หรือไม่”
จู่ๆ นางก็เอ่ยปากร้องขอเช่นนี้
เติ้งอิงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ใส่ได้หรือไม่” นางถามอีกครั้ง
“ได้…” เขากล่าวคำนี้จบก็รีบนั่งยองๆ หยิบเสื้อตัวในที่ทำจากผ้าแพรอีกตัวหนึ่งออกมาจากในหีบแล้ววางไว้ข้างมือหยางหวั่น
หลี่อวี๋ที่อยู่นอกประตูส่งเสียงเร่งอีก เติ้งอิงไม่กล้ามองหยางหวั่น หอบเสื้อผ้าของตนขึ้นมาแล้วผลักประตูเดินออกไป
หยางหวั่นก้มหน้าสะบัดเสื้อตัวในที่เติ้งอิงทิ้งไว้ให้นาง เสื้อตัวบนมีเชือกผูกเอวด้านข้างและกางเกง ล้วนใหญ่และหลวม
นางก้มลงถอดรองเท้าของตน ขดตัวนั่งกอดเข่าอยู่มุมเตียง
ในห้องเงียบเหงาอย่างยิ่ง ตรงร่องผนังมีความหนาวเย็นบางเบาลอดเข้ามา
หยางหวั่นแทบจะสัมผัสได้ถึงไอหนาวจากคูน้ำป้องกันวังแทรกซึมเข้ามาจากสี่ทิศแปดทาง
นางกลั้นไม่อยู่ไอออกมาสองที ใช้มือเอื้อมไปยังแผ่นหลังของตนแล้วค่อยๆ ปลดแถบผูกเสื้อชั้นในตัวเล็กออก
นี่เป็นครั้งแรกที่นางถอดเสื้อผ้าปกปิดร่างกายในที่พำนักของเติ้งอิง ตอนยกแขนออกมาจากแขนเสื้อ ลมฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเย็นก็พัดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา ทำให้ขนอ่อนบนผิวกายลุกชัน นางถอดเสื้อชั้นในตัวเล็กต่อ จากนั้นก็งอขาทั้งสองข้าง ปลดกระโปรงผ้าแพรและดึงขาออกจากกางเกงลายปัก
บั้นท้ายแนบอยู่บนที่นอนของเติ้งอิง ที่นอนปูด้วยผ้าฝ้าย ตอนสัมผัสถูกผิวกายทำให้รู้สึกเย็นเล็กน้อย
แต่หยางหวั่นรู้สึกสบายยิ่ง คล้ายช่วงสุดสัปดาห์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จแล้วซุกเข้าไปในผ้าห่มนอนเปลือยกายอย่างไรอย่างนั้น
ลมพัดม่านขยับ มีเสียงฝนตกพรำๆ ดังมาจากข้างหน้าต่าง
หยางหวั่นนั่งรับลม สองมือกอดอก นางไม่ได้รีบร้อนสวมเสื้อตัวในของเติ้งอิงและไม่ได้เข้าไปอยู่ในผ้าห่มของเติ้งอิง เพียงนั่งอยู่เงียบๆ อาศัยแสงเทียนในตะเกียงมองร่างกายตนเอง
นี่เป็นร่างที่เดิมทีเสียชีวิตไปในฤดูหนาวของรัชศกเจินหนิงปีที่สิบสอง เคยเยาว์วัย ขาวผุดผ่อง เกลี้ยงเกลาไร้จุดด่างพร้อยดุจหยก ทว่ายามนี้กลับมีรอยแผลเป็นจากทัณฑ์ทรมานสีน้ำตาลอ่อนหลายแนวอยู่ที่เอว หน้าท้อง และต้นขา รอยแผลเป็นเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งเดียวบนร่างกายนี้ที่เป็นของหยางหวั่น
หยางหวั่นเอื้อมมือไปลูบไล้รอยแผลเป็นบนขา แม้จะผ่านไปนานแล้ว แต่ยามแตะต้องความรู้สึกเจ็บก็ยังคงอยู่
ตายแล้วทุกอย่างก็จบสิ้น มีชีวิตอยู่ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นราวกับเกล็ดปลา น่าอัปยศอดสูยิ่ง
สตรีในราชสำนักต้าหมิงยอมรับร่างกายของตนเองได้อย่างไรกัน
ในยุคสมัยที่จิตสำนึกที่มีต่อร่างกายของสตรียังไม่ตื่นตัว การประเมินความงามของสังคมยุคศักดินาจะยอมรับ ‘รอยแผลเป็นจากความผิด’ ที่หลงเหลือจากคุกหลวงเหล่านี้หรือไม่
นี่จะเหมือนกับบาดแผลบนร่างกายของเติ้งอิงหรือไม่