ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 55-56
หลิวต้าเหนียงเห็นสตรีที่งามปานเทพธิดาผู้นี้ไม่รังเกียจที่พวกนางหยาบกระด้าง ทั้งยังพูดคุยกับพวกนางอย่างอ่อนโยน ไหนเลยจะยอมรับคำขออภัยของอีกฝ่าย “เรื่องแค่นี้จะเป็นไรไป ปกติเวลาพวกเราไปทำนา เวลามักล่วงเลยถึงยามซวีกว่าจะได้กินข้าว บางครั้งงานในท้องนายังทำไม่เสร็จ กินข้าวยามไฮ่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ บัดนี้พวกเราไม่ต้องทำอะไร แม้แต่ข้าวยังต้องรบกวนพวกท่านเอามาให้ พวกเราต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขออภัย”
หวังเหยียนชิงยิ้มตอบ “ท่านทั้งสองไม่โทษข้าก็ดีแล้ว คิดว่าอาหารคงต้องรออีกสักพัก พวกท่านนั่งลงพูดคุยเถอะ”
หวังเหยียนชิงพูดเช่นนี้ แต่ความจริงในใจนางรู้ดีว่าอาหารจะไม่มีทางมาส่ง นางแอบแฝงตัวเข้ามาในนี้ จะทิ้งร่องรอยไว้ไม่ได้เด็ดขาด อาหารมื้อนี้ที่นางนำเข้ามาแม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวต้องไม่ได้กินอยู่แล้ว รอให้หวังเหยียนชิงจากไป นางกำนัลขันทีตัวจริงจึงจะนำอาหารมาส่ง
ชาวชนบทไม่มีพิธีรีตองถึงเพียงนั้น แม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวเห็นหวังเหยียนชิงเชื้อเชิญพวกนางนั่งอย่างเป็นมิตรก็นั่งลงจริงๆ หวังเหยียนชิงแสร้งทำทีสนอกสนใจเรื่องในท้องนา เป็นฝ่ายถามเรื่องการเพาะปลูก
เดิมทีหวังเหยียนชิงเป็นผู้สูงศักดิ์ในวัง ทั้งห่างไกลและน่ากลัวในความคิดของแม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิว บัดนี้นางขอคำชี้แนะ ฐานะจึงต่ำลงโดยปริยาย หลิวต้าเหนียงไม่คิดว่าคนในวังจะมีเรื่องที่สู้นางไม่ได้ด้วย ในใจฮึกเหิม คุยจ้อไม่หยุดทันที
สองตาของหวังเหยียนชิงจ้องมองหลิวต้าเหนียงอย่างจริงจัง ยิ้มน้อยๆ ทั้งผงกศีรษะเป็นครั้งคราว พูดคุยกันไม่กี่คำนางก็สามารถหลอกถามสถานการณ์ในครอบครัว ทะเบียนครัวเรือน และอายุของหลิวต้าเหนียงได้ทั้งหมด ลูกสะใภ้สกุลหลิวเห็นแม่สามีคุยจ้อไม่หยุด รู้สึกประดักประเดิดอยู่บ้าง แอบกระตุกแขนเสื้อหลิวต้าเหนียง “ท่านแม่ แม่นางท่านนี้ไม่แน่อาจไม่เคยจับดินมาก่อนด้วยซ้ำ ท่านพูดเรื่องพวกนี้ ผู้อื่นจะทนฟังได้อย่างไร”
“ใช่ที่ใดกัน” หวังเหยียนชิงยิ้มตอบ “ความจริงข้าก็เติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านเหมือนกัน สมัยเด็กๆ ตอนท่านย่าไปทำนา ข้าก็รออยู่บนคันนา จะไม่เคยเห็นดินได้อย่างไร”
ความจริงหวังเหยียนชิงจดจำเรื่องพวกนี้ไม่ได้ เพียงอาศัยการฟังมาจากลู่เหิงทั้งสิ้น หวังเหยียนชิงอดรู้สึกเสียใจมิได้ นางบ้านแตกสาแหรกขาด สูญเสียบิดามารดาและผู้เป็นย่าไปตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ตอนนี้แม้กระทั่งใบหน้าของท่านย่านางก็นึกไม่ออก หากท่านย่าของนางยังอยู่บนโลกใบนี้ก็น่าจะมีลักษณะเหมือนท่านยายตรงหน้าที่ผ่านลมผ่านฝนมามากแต่ยังคงยืนหยัดไม่ย่อท้อกระมัง
หวังเหยียนชิงลอบถอนหายใจ นางได้รับความไว้วางใจจากแม่สามีกับลูกสะใภ้สกุลหลิวแล้วจึงค่อยๆ แตะเรื่องคดี “ท่านป้า ข้าได้ยินมาว่าวันนี้ท่านมาเรียกร้องความเป็นธรรม เรื่องราวเป็นอย่างไรหรือ”
หลิวต้าเหนียงฟังแล้ว คิ้วที่เดิมทีชี้ขึ้นลู่ลงทันใด ถอนหายใจหนักๆ “ใช่ ตาแก่กับบุตรชายข้า ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย”
หวังเหยียนชิงถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“พวกเขาถูกราชสำนักเรียกตัวไปสร้างพระตำหนักชั่วคราวในเดือนสี่ เดือนหกชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านข้างๆ ทยอยกลับมากันหมดแล้ว มีแต่พวกเขาที่ไม่มีข่าวคราว ข้ารอแล้วรอเล่า ครั้นเห็นว่าย่างเข้าเดือนเจ็ดแล้ว ยังคงไม่มีข่าว ข้าจึงไปสอบถามในที่ว่าการอำเภอ ตอนแรกคนของที่ว่าการไม่ยอมพูด ไล่ตะเพิดพวกเราออกมา ภายหลังข้าชักชวนคนในหมู่บ้านไปด้วยกัน คนของทางการไม่ออกมา พวกเราก็จะนั่งรออยู่หน้าประตู นายอำเภอเห็นว่าไล่พวกเราไปไม่ได้จึงบอกว่าบุรุษในหมู่บ้านเหอกู่เจอน้ำป่าระหว่างเดินทางไปใช้แรงงาน ถูกสายน้ำพัดพาไป”
ตอนเอ่ยคำพูดพวกนี้ดวงตาของหลิวต้าเหนียงไร้ประกาย รอยย่นตรงมุมปากตกลงมา เป็นท่าทีของคนที่ด้านชาและนิ่งสงบ หวังเหยียนชิงขบคิดก่อนถาม “พวกเขาถูกน้ำป่าพัดพาไประหว่างเดินทางไปยังที่หมาย ราชสำนักเกณฑ์พลเดือนสี่ เหตุใดที่ว่าการอำเภอเพิ่งจะแจ้งข่าวพวกท่านในเดือนเจ็ดเล่า”
“ข้าก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้เหมือนกัน ถึงได้รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ถูกน้ำพัดพาไป” หลิวต้าเหนียงว่า “ภายหลังผู้ใหญ่บ้านมาหาพวกเราทีละครอบครัว บอกว่าทางอำเภอแจกเงินช่วยเหลืองานศพ ให้แต่ละบ้านส่งคนไปรับเงินที่ศาลาว่าการประจำอำเภอ รับเงินแล้วก็อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ข้าไม่เชื่อว่าบุตรชายข้าจะตายไปเช่นนี้ จึงไม่ได้ไปเอาเงิน”
หวังเหยียนชิงถาม “คนอื่นๆ ในหมู่บ้านล้วนไปรับเงิน?”
“ก็ใช่น่ะสิ” หลิวต้าเหนียงถอนหายใจหนักๆ “ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป คนก็ตายไปแล้ว ยังจะยึดติดไม่ปล่อยวางไปไย พวกเขาต่างก็ว่าข้าถูกภูตผีครอบงำจิตใจ แต่พวกเขาไหนเลยจะรู้ ทุกคืนพอหลับตาลงข้าจะเห็นบุตรชายข้ากำลังลำบาก ข้าเลี้ยงดูเขามาอย่างยากเย็นจนเติบใหญ่ เพิ่งจะแต่งภรรยาให้เขา แล้วจะส่งเขาจากไปอย่างไม่ชัดเจนเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ต่อให้เจอน้ำป่าจริง ถึงอย่างไรก็ต้องมีศพกระมัง”
ลูกสะใภ้สกุลหลิวเงียบงัน ก้มหน้านั่งอยู่ข้างกายแม่สามี แสงสว่างข้างนอกมืดลงทีละชั้น พวกนางนั่งอยู่ข้างโต๊ะไม้ ดูเหมือนรูปปั้นในศาลเจ้าชุมชน นิ่งเงียบและเก่าคร่ำคร่า หวังเหยียนชิงตรึกตรองครู่หนึ่งก่อนถาม “ทุกหมู่บ้านล้วนต้องถูกเกณฑ์ไพร่พลหรือ”
“ใช่”
“นอกจากหมู่บ้านเหอกู่ ยังมีคนในพื้นที่อื่นประสบเหตุการณ์เช่นนี้หรือไม่”
“ไม่เคยได้ยิน” หลิวต้าเหนียงตอบด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “คนของพวกเขากลับมานานแล้ว แต่หมู่บ้านพวกเราไม่มีข่าวคราวเลย ข้าถึงได้รู้สึกประหลาดใจ ข้าไปร้องทุกข์ในที่ว่าการอำเภอ นายอำเภอด่าว่าข้าเสียสติ ภายหลังก็ไม่อนุญาตให้ข้าเข้าประตู ภายหลังเหยี่ยวล่าปลาบ้านพวกเราบินกลับมา ในที่สุดข้าก็มีหลักฐาน แต่ไม่สามารถเข้าไปในที่ว่าการอำเภอได้ แต่ก่อนข้าเคยได้ยินคนมาร้องงิ้วหน้าหมู่บ้าน บอกว่าหากได้รับความไม่เป็นธรรมและนายอำเภอไม่สนใจ เดินทางเข้านครหลวงไปร้องทุกข์ก็จะประสบความสำเร็จ ข้าไม่รู้ว่านครหลวงอยู่ที่ใด จึงลองมาหาเจ้าเมือง แต่ในเว่ยฮุยข้าไม่คุ้นที่คุ้นทางและไม่รู้จักผู้คน ข้าเฝ้าอยู่ข้างนอกสามวัน แม้แต่ประตูจวนยังเข้าไปไม่ได้”
ลูกสะใภ้สกุลหลิวฟังถึงตรงนี้ พูดเสริมว่า “เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ท่านพ่อและสามีข้า ท่านแม่ต้องลำบากไม่น้อยเลยจริงๆ ตอนนางไปร้องทุกข์ที่ว่าการอำเภอ นายอำเภอเกือบจะลงทัณฑ์นางอยู่แล้ว ข้าต้องอ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่า นายอำเภอจึงจะยอมละเว้น ข้าดึงตัวท่านแม่ออกมา หลังจากนั้นพวกเราก็ไม่กล้าไปที่ที่ว่าการอำเภออีก ดังนั้นจึงเดินทางมาเว่ยฮุย แต่เจ้าเมืองยุ่งกับการรับเสด็จ แม้แต่ประตูที่ว่าการยังไม่ยอมให้พวกเราเข้าใกล้ด้วยซ้ำ พวกเราอยู่ในเมืองเว่ยฮุยสามวัน ครั้นเห็นว่าค่าเดินทางถูกใช้ไปหมดแล้ว ท่านแม่ไม่ยินยอมกลับไปมือเปล่าเช่นนี้ จึงทุ่มสุดชีวิตลองมาเสี่ยงดวงที่พระตำหนักชั่วคราวสักครั้ง”