ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่นับว่าไม่เคยผ่านประสบการณ์มาก่อน แต่บ้านของคนระดับอ๋องโหวอย่างท่านหญิงไหวอินกลับไม่เคยสัมผัสมาก่อน
นางมาในครั้งนี้ เพียงแค่อยากจะพบกับใต้เท้าหลิวของกรมโยธาและพูดไกล่เกลี่ยสถานการณ์เท่านั้น แต่พอมาถึงที่นี่จึงพบว่าแม้จะเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งสูงในกรมโยธา ก็ใช่ว่าจะเข้ามาในจวนกลางสวนนี้ได้ง่ายๆ ต้องอยู่ค้างคืนนอกจวน วันพรุ่งนี้ตอนงานเริ่ม จึงจะพาครอบครัวเข้ามาได้
รู้กันว่าจ้าวซีจือคังติ้งอ๋องพระอนุชาคนที่สี่ของท่านหญิงไหวอินนับว่าเป็นใหญ่ด้านหนึ่งในต้าฉู่ที่วุ่นวายนี้ ตอนนี้สถานการณ์ในราชสำนักมีสกุลไป๋พระญาติห่างๆ คอยควบคุม ส่วนสกุลจ้าวที่เป็นพระญาติโดยตรง ย่อมรู้สึกไม่พอใจ และผู้ที่มีความสามารถประคับประคองการครองแผ่นดินของสกุลจ้าวได้ก็มีเพียงทางคังติ้งอ๋องแล้ว
สกุลไป๋อยู่ที่เมืองหลวงแม้จะเหิมเกริม แต่ยังต้องถอยให้กับคังติ้งอ๋องอยู่บ้าง นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่สกุลไป๋ถึงแม้จะควบคุมราชสำนักได้แต่ไม่กล้าชิงบัลลังก์ อย่างไรเสียฉู่จิ้งเฟิงที่ผีเห็นยังหวั่นแห่งต้าฉู่ก็ยังเป็นแขนซ้ายขวาของคังติ้งอ๋อง
อยู่ในแคว้นที่วุ่นวาย ในมือมีอำนาจทหารมีประโยชน์กว่ามีอำนาจฮ่องเต้มาก!
ดังนั้นคนที่เป็นขุนนางเหล่านั้นต้องการอำนาจผลประโยชน์จึงพยายามทำดีทั้งซ้ายขวา ไม่ล่วงเกินผู้ใดทั้งสิ้น อย่างไรเสียก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าคังติ้งอ๋องผู้นี้จะมีวันได้ครองตำแหน่งฮ่องเต้หรือไม่ และในวันคล้ายวันประสูติของท่านหญิงไหวอิน คนที่มาเพื่อประจบมีจำนวนมาก ขุนนางดูแลโครงการน้ำและดินของกรมโยธาผู้หนึ่งจึงไม่นับว่ามีตำแหน่งสูงอะไร ย่อมต้องพักอยู่นอกจวนก่อน
รอจนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถามเรื่องราวเหล่านั้นจากพ่อบ้านอย่างชัดเจนแล้ว ในใจก็รู้สึกหวาดหวั่น นางกับบุตรสาวพอมาถึงที่นี่ก็ถูกนำเข้ามาในจวนกลางสวนแห่งนี้เลย มิหนำซ้ำยังได้ฟังพ่อบ้านพูดว่าเรือนเล็กที่พวกนางพักอยู่เป็นเรือนพักของท่านหญิงไหวอินก่อนจะออกเรือนอีกด้วย
ได้รับการต้อนรับขับสู้ที่พร้อมสมบูรณ์เช่นนี้ ยิ่งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่สบายใจ นางรู้ว่าท่านหญิงไหวอินเห็นแก่หน้าของฉู่จิ้งเฟิงน้องชายจริงๆ จึงได้มีมารยาทกับนางเช่นนี้
เรื่องนี้ยิ่งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ลำบากใจมาก เดิมทีตัดสินใจไว้ว่าจะพบใต้เท้าหลิว จัดการเรื่องใหญ่เกี่ยวกับเงินทองให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยปฏิเสธการแต่งงานนี้ แต่หลังจากท่านหญิงไหวอินต้อนรับขับสู้อย่างดีเช่นนี้ นางคิดข้ออ้างที่จะใช้ปฏิเสธไม่ออกเลยจริงๆ
หลังอาหารเย็น ท่านหญิงไหวอินเชิญฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เพียงคนเดียวเข้าไปดื่มชาพูดคุยในโถงรับแขกเล็กของตนเอง
“ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ จิ้งเฟิงกังวลว่าคุณหนูรองหลี่จะปรับตัวเข้ากับทางเหนือไม่ได้ จึงคิดจะสร้างจวนซือหม่าใหม่อีกแห่ง…” ตอนที่พูด ท่านหญิงไหวอินสั่งให้นางกำนัลยกกรอบภาพที่เหมือนฉากกั้นเล็กมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดู เพียงแค่ดูภาพนั้นก็ยิ่งทำให้รู้ว่าจวนแห่งนี้งามวิจิตรเพียงใด
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นแล้วก็ยิ่งยืนนั่งไม่สบายใจ รู้สึกว่าตอนนี้หากยังไม่เอ่ยปากคงจะสายไปแล้ว ดังนั้นจึงรีบพูดอึกอักเอ่ยปากปฏิเสธเรื่องการแต่งงาน
ท่านหญิงไหวอินบนใบหน้ายังมีรอยยิ้มไม่จาง เสียงพูดก็ยังอ่อนโยนเหมือนเดิม “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ท่านไม่เข้าใจนิสัยของน้องชายข้า เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ถ้าไม่ต้องตา ไม่มีทางไปมอง แต่ถ้าชอบแล้ว ต่อให้สู้จนตายก็ต้องเอามาอยู่ในมือให้ได้ เพราะนิสัยเสียนี้ของเขา ไม่รู้ว่าถูกท่านพ่อท่านแม่ตำหนิไปกี่ครั้งแล้ว แต่ยังคงแก้ไม่ได้เสียที… ตอนนี้เขาไม่มีท่านพ่อท่านแม่แล้ว ถึงแม้ข้าจะเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้อง แต่ก็รักน้องชายผู้นี้มาก สิ่งที่เขาอยากได้ ข้าก็ยินดีจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเขา เรื่องคุณหนูรองหลี่ไปอยู่ทางเหนือ เป็นเรื่องแน่ชัดอยู่แล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพียงเลือกว่าอยากเห็นนางนั่งเกี้ยวเจ้าสาวไป หรือนั่งรถนักโทษไปเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ท่านหวังอยากให้เป็นแบบใดเล่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังก็ตกตะลึงไปทันที นางคิดไม่ถึงว่าท่านหญิงไหวอินที่ดูเหมือนอ่อนโยนจะออกปากพูดข่มขู่เช่นนี้ได้ “ท่านหญิง…ท่านหมายความว่าอย่างไร”
ท่านหญิงไหวอินอมยิ้ม ไม่มีท่าทางของคนที่พูดบีบบังคับเมื่อครู่เลย เพียงแค่โบกมือไปทางนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง นางกำนัลผู้นั้นก็ยกถาดที่มีฎีกาฉบับหนึ่งวางไว้ ก่อนจะเอาฎีกามาวางไว้ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่
“สิ่งนี้ได้มาจากใต้เท้าหลิวกรมโยธาที่มีสัมพันธ์อันดีกับจิ้งเฟิง บังเอิญเช่นกัน เพื่อไปงานเลี้ยง ใต้เท้าหลิวบังเอิญมาหาข้าที่นี่ พูดถึงเรื่องที่คุณหนูรองโยกเงินหลวงกรมโยธาไปใช้ เพราะจิ้งเฟิงชื่นชมคุณหนูรองจึงทำเรื่องที่ผิดมหันต์ ขอร้องให้ใต้เท้าหลิวดึงฎีกานี้ไว้ชั่วคราว อย่าเพิ่งส่งให้ฝ่าบาททรงทราบ ก่อนหน้านี้จิ้งเฟิงคิดว่าคุณหนูรองเพิ่งจะถอนหมั้น คงไม่อยากจะถูกรบกวน จึงคิดจะอดทนสักระยะค่อยไปพูดทาบทามสู่ขอ แต่อ่านฎีกานี้แล้วในใจก็นึกถึงคุณหนูรอง เร่งให้ข้ารีบไปพูดทาบทามสู่ขอ…จะได้ขวางเรื่องเลวร้ายแทนนาง แต่ตนเองไม่ลองคิดดูว่านอนบนหมอนร้อนเช่นนี้ ดีไม่ดีอาจถูกคนเห็นเป็นจุดอ่อน เฮ้อ ช่างเป็นน้องโง่ของข้าจริงๆ!”