ที่น่ายินดีก็คือแม้จะได้รับความยากลำบาก แต่ก็ทนกันมาจนทุกอย่างเจริญรุ่งเรืองขึ้น หลายปีมานี้แคว้นเทียนเฉา หนึ่งปราศจากศึกสงคราม สองไร้ซึ่งภัยธรรมชาติ ผู้คนในตรอกผินหมินของเฉิงเป่ยที่ทนทำงานลำบากตรากตรำในอาณาเขตเล็กๆ ของตัวเอง เริ่มใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้มานานแล้ว แม้ว่าชารสหยาบอาหารรสจืดจะสู้สำรับอาหารในบ้านคหบดีไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ถือว่าได้กินอิ่มท้อง
เพียงแต่ชาวบ้านเหล่านี้ทำงานหนักเพื่อค้ำจุนทั้งครอบครัว ทั้งใช้แรงงาน แบกหามขนส่งของมากมาย คนที่ใช้ถ้อยคำหยาบโลนไม่ปั้นแต่งมีอยู่มาก เมื่อมีวาจาอย่าง ‘ถ่ายได้ถ่ายดี’ หรือ ‘ท้องไส้ไหลลื่น’ ชายฉกรรจ์ที่ทำงานแบกหามหลายคนก็อดที่จะหัวร่อเสียงดังและต่อปากต่อคำไม่ได้
“พอตาแก่อย่างเจ้าพูดขึ้นมา ข้าก็เริ่มอั้นหูรูดไม่อยู่แล้ว” พลางทำท่ากุมก้น
“มารดามันสิ เจ้าก็เลิกพูดได้แล้ว ข้าชักรู้สึกว่าลำไส้รัดตัวเร็วมาก อีกนิดเดียวก็จะออกมาแล้ว อา…ไม่ได้ๆ ตาเฒ่าเฉียว ขอยืมใช้ส้วมบ้านเจ้าหน่อย” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นวิ่งแน่บไปที่หลังร้าน
หัวข้อสนทนาที่ไม่ไพเราะเช่นนี้ ผู้คนที่รายล้อมนั่งกินอาหารอยู่รอบเพิงที่ปล่อยควันอุ่นและหอมกลิ่นอาหารต่างก็ไม่ถือสาแม้แต่น้อย ยังคงนั่งกินดื่มกันต่อ และหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ทันใดนั้น…
“จ่ายเงิน” เด็กหญิงร่างแบบบางและหัวรั้นร้องด้วยเสียงแหบแห้ง
เมื่อทุกคนได้ยินก็มองไปที่โต๊ะทางทิศตะวันออกที่อยู่ไกลจากเพิงที่สุดนั้น มีชายฉกรรจ์สามคนนั่งอยู่ ตอนนี้ทั้งสามกำลังจะลุกจากไป แต่เด็กหญิงปัญญาอ่อนที่ช่วยพี่สาวเก็บโต๊ะเก็บชามที่คนกินเสร็จแล้วอย่างสงบเงียบเรียบร้อยมาตลอดกำลังดึงชายเสื้อชายฉกรรจ์คนหนึ่ง และทำแก้มป่องจ้องฝ่ายตรงข้าม
“พวก…พวกเจ้าจ่ายเงิน โจ๊กหนึ่งชามห้าอีแปะ แป้งย่างหนึ่งแผ่นห้าอีแปะ พี่สาวเคยสอนโม่เอ๋อร์ โจ๊กหกชามกับแป้งย่างสามแผ่น…คิด คิดเป็นสี่สิบห้าอีแปะ พวกเจ้าจ่ายเงิน จ่ายเงินมา” เด็กสาวพูดพลางกระทืบเท้าอย่างแรง
“เฮอะ หาได้ยากนัก มีคนกล้าทวงเงินกับบิดาด้วย?” ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ที่สุดในบรรดาสามคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น สองแขนถือถ้วยชามไว้ที่ระดับอก ใบหน้าส่อแววดุร้าย
ฉากเบื้องหน้าทำให้บรรดาผู้คนที่หัวเราะกันอย่างครื้นเครงเงียบเสียงลงทันใด ราวกับฝูงนกกระจิบเชื่องที่หดตัวด้วยความเหน็บหนาว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
ชายฉกรรจ์ทั้งสามคนนี้เป็นคนดูแลคฤหาสน์ของเจ้าของที่ดินจ้าวชิ่งไหล
คำว่า ‘คนดูแลคฤหาสน์’ นั้นฟังดูดี แต่ความจริงก็คือนักเลงที่จ้าวชิ่งไหลเลี้ยงไว้
คนแซ่จ้าวอาศัยฐานะร่ำรวยเพื่อข่มเหงผู้อื่น โดยไล่ซื้อร้านรวงในถนนหลายสายของเฉิงเป่ย แม้แต่ในตรอกผินหมินนี้ก็ยังมีที่ดินบางส่วนเป็นของเขา มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไปพึ่งพาอาศัยเขาและทำงานให้ตามโรงน้ำชา ร้านอาหาร บ่อนพนันและโรงรับจำนำ
จ้าวชิ่งไหลมีอำนาจมากในเฉิงเป่ย และทำตัววางอำนาจบาตรใหญ่มาตลอด คนที่เป็นบริวารจึงวางโตเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์* เหตุการณ์เช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่พบเห็นได้โดยทั่วไป ผู้คนหากเลี่ยงได้ก็พยายามเลี่ยงไม่กล้าทวงความเป็นธรรม เพียงแต่วันนี้กลับปรากฏผู้ที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้
“จ่ายเงิน พวกเจ้าจ่ายเงิน”
“โม่เอ๋อร์” เจียงหุยเสวี่ยเรียกน้องสาว รีบวางทัพพีลงแล้ววิ่งมาหา
นางดันเด็กสาวร่างเล็กที่ยังคงแสดงสีหน้าดื้อดึงไปไว้ข้างหลัง ยืดตัวขึ้นแล้วพูดกับชายฉกรรจ์
“น้องสาวข้ายังเด็ก ใต้เท้าผู้ใจกว้างทั้งสามโปรดอย่าถือสา ร้านขายโจ๊กของข้าเพิ่งเปิดได้ไม่นาน วันนี้ท่านทั้งสามให้เกียรติมาเป็นพิเศษ โจ๊กไม่กี่ชามนี้ถือเป็นสินน้ำใจของข้าน้อย หวังว่าอีกหน่อยใต้เท้าจะให้ความกรุณา” เผอิญว่าท่านยายเฉียวพอเห็นชายฉกรรจ์ทั้งสามปรากฏตัวขึ้น ก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ลอบบอกที่มาที่ไปทั้งหมดให้นางทราบ
ผู้เข้มแข็งข่มเหงคนอ่อนแอ ทั้งสามเป็นคนที่มาจากตรอกผินหมินแท้ๆ กลับหันมารังแกคนกันเอง
ตอนนี้พอได้ยินนางพูดเช่นนั้น ตาเฒ่าเฉียวก็โบกไม้โบกมือรีบกล่าวเสียงดังว่า “ไม่คิดเงิน ไม่คิดเงิน ถือเป็นสินน้ำใจ ขอความกรุณาด้วย”
ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่นั้นเลิกคิ้วหยาบหนา นิ้วทั้งห้าลูบคางที่มีเคราเขียวขึ้นทั่ว พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่แปลกออกไป “เป็นสินน้ำใจของเจ้าหรือแม่นางน้อย” แล้วก็หัวเราะหึและแสร้งทำเป็นถอนหายใจ “เฮ่อ สินน้ำใจอะไรกัน เหตุใดพวกข้าถึงยังไม่ได้รับเล่า เถี่ยซาน เจ้าได้รับหรือเปล่า เหล่าลิ่ว เจ้าล่ะ”
ชายฉกรรจ์ที่ถูกเรียกต่างพากันส่ายศีรษะ บนใบหน้าส่อแววดุร้าย ปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ดวงตาสาดประกายกลับกลอกกลิ้งไปมา พินิจมองเจียงหุยเสวี่ยอย่างละเอียด
ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ผงกศีรษะโดยแรง “ดูสิ ไม่มีใครได้รับ เจ้าจะให้พี่ชายอย่างพวกข้าให้ความกรุณาเจ้าอย่างไร” ชายฉกรรจ์อีกสองคนต่างก็ร่วมผสมโรง
“น้ำใจหรือ จะว่ายากก็ไม่ยาก จะว่าง่ายก็ไม่มีอะไรง่ายกว่านี้แล้ว แค่แลกกับน้ำใจพวกข้าก็พอแล้ว”
“อ้อ แล้วน้ำใจพวกข้าคืออะไรกันนะ”
“ก่อนอื่น แค่ร้องคำว่า ‘พี่ชาย’ ให้ชื่นหู”
“จากนั้นเล่า”
“จากนั้น…ฮิๆ…ฮะๆ…ฮ่าๆ…ก็ต้องลูบตรงนั้น คลำตรงนี้ แล้วค่อยหอมที่จุดนั้นสักคำสองคำ”
ในที่นั้น ผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะก้มหน้าก้มตา กล้ามีโทสะแต่มิกล้าเอ่ยคำ มีคนหนุ่มเลือดร้อนสองสามคนที่กำหมัดแน่นและอยากจะออกหน้า แต่ก็ถูกผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้างหรือญาติพี่น้องรั้งไว้สุดชีวิต