ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สตรีอ่อนโยนล้วนแฝงพิษร้าย บทนำ-บทที่ 1
กลับเป็นคนที่ถูกคอกับหญิงสาวสองพี่น้องอย่างตาเฒ่าและท่านยายเฉียวที่ออกมาแสดงน้ำใจ เพราะทนเห็นหญิงสาวถูกดูแคลนไม่ได้ จึงรีบออกตัวปกป้อง
“พวกเจ้าสามคนเป็นลูกหลานชาวตรอกผินหมินแท้ๆ อาชีพเดิมของบิดาพวกเจ้าก็เป็นแรงงานหักร้างถางพง ส่วนมารดาพวกเจ้า…เฮอะๆ มาจากที่แบบไหนพวกข้าคงจะพูดได้ไม่เต็มปากหรอก แล้วก็ไม่อยากจะพูดด้วย พวกเจ้ายังคิดว่าตัวเองใหญ่มาจากไหน วันทั้งวันดีแต่ข่มเหงรังแกคนบ้านเดียวกัน สุขใจนักหรือไร สุขใจนักใช่หรือไม่!” ท่านยายเฉียวเดินเหินคล่องแคล่วกว่าสามีชรามากนัก นางชิงออกมาเบื้องหน้าตาเฒ่าเฉียว พุ่งไปยังข้างกายเจียงหุยเสวี่ย แสดงความขุ่นเคืองในใจทั้งหมดออกมา
ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้นตามมาดังคาด
ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ถูกคำพูดของท่านยายเฉียวแทงใจดำเข้า ทั่วทั้งใบหน้าแดงซ่าน ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองมาอย่างโกรธเคือง เขาร้องตะโกนเสียงดัง ทันใดนั้นกำปั้นขนาดใหญ่เท่าชามก็เหวี่ยงเข้ามา
“ท่านยายระวัง!” เจียงหุยเสวี่ยร้องอย่างตกใจ หันมาปกป้องหญิงชราโดยไม่ต้องคิด แต่ทว่าขาของโต๊ะเหลี่ยมขวางเท้าเล็กของนางอยู่ นางฝีเท้าซวนเซ โอบร่างท่านยายเฉียวล้มลงกับพื้น แต่ก็หลบรอดพ้นจากหมัดหนักนั้นได้
“พี่สาว…พี่สาวลุกขึ้น! พี่สาวลุกขึ้น! ฮือๆๆ…” สาวน้อยพลันคลุ้มคลั่ง ร้องไห้น้ำตานองหน้า เด็กสาวโถมตัวออกไปโอบขาของชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่แล้วอ้าปากกัด
“โม่เอ๋อร์หยุดนะ!” พอเจียงหุยเสวี่ยหันไปมอง หน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว เห็นชายฉกรรจ์ที่เหลืออีกสองคนกำลังจะถีบโม่เอ๋อร์ออกไป นางย่อมลุกขึ้นยืนไม่ทัน ทำได้เพียงใช้แขนขาตะเกียกตะกายเข้าไป พยายามที่จะหยุดยั้ง
เหตุการณ์มาถึงจุดนี้ ผู้สังเกตการณ์ทั้งหลายต่างก็อดรนทนมองไม่ได้อีกต่อไป ผู้คนมากมายเริ่มลุกขึ้นยืน ทางหนึ่งด่าทออีกทางหนึ่งเลิกชายแขนเสื้อขึ้นเตรียมที่จะต่อยตี
แม้กระนั้น เจียงหุยเสวี่ยก็ยับยั้งการกระทำอุกอาจของชายฉกรรจ์ไว้ไม่ได้
คนหนุ่มไม่กี่คนที่ได้รับการกระตุ้นและนึกอยากจะออกไปต่อยตีให้หนำใจก็ยับยั้งไม่ได้ สิ่งเดียวที่ยับยั้งการกระทำอันมิชอบนี้ได้กลับเป็นม้านั่งที่แสนจะธรรมดาตัวหนึ่ง
ม้านั่งทรงเหลี่ยมทำจากไม้ลอยออกมาจากในเพิงร้าน ไม่ทราบว่าผู้ที่โยนมันออกมาใช้กำลังอย่างไร ถึงใช้พละกำลังนั้นออกมาได้อย่างเหมาะเจาะพอดีและยอดเยี่ยมเกินกว่าจะพรรณนา ซึ่งสามารถใช้ม้านั่งหนึ่งตัวโค่นคนสามคนล้มลงได้
เมื่อถึงคนที่สามม้านั่งพลันแตกกระจาย เศษไม้ปลิวกระเด็นใส่พวกบุรุษใจหยาบช้า จนเลือดไหลอาบท่วมใบหน้า
ตอนนี้เจียงหุยเสวี่ยคว้าตัวโม่เอ๋อร์ไว้ได้แล้ว นางกอดร่างน้อยผอมบางที่ตัวสั่นเทาไม่หยุดเอาไว้แน่น และปลอบด้วยเสียงอันอ่อนโยน “ไม่เป็นไรแล้ว พี่สาวลุกขึ้นมาแล้ว พี่สาวไม่เป็นไร โม่เอ๋อร์อย่าตกใจ ไม่เป็นไรหรอก ประเดี๋ยวพี่ทำขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมให้เจ้ากินดีหรือไม่ ไม่ต้องกลัว…”
นางง่วนอยู่กับการปลอบโยนคนร่างเล็กในอ้อมกอด ไม่ทันเห็นว่าสายตาของฝูงชนเคลื่อนไปทางข้างหลังนาง ดวงตานับสิบคู่จับจ้องอยู่ที่จุดจุดเดียว มองดูบุรุษร่างสูงที่เดินออกมาจากข้างในตาไม่กะพริบ
“แค่กๆๆ…ผู้ใด ผู้ใดกัน”
“มารดามันทำอะไรลับๆ ล่อๆ เป็นตัวบัดซบที่ไหนทำ!”
“กล้าลอบกัดบิดาหรือ ไม่อยากมีชีวิตสืบ…เอ่อ…แค่กๆๆ…”
เหล่าบุรุษหยาบช้าที่เจอม้านั่งเข้าไป เดิมทียังคิดจะกล่าววาจาผรุสวาท แต่พอสองตามองเห็นได้ชัดเจนแล้วว่าผู้ที่ก้าวเดินออกมาจากในเพิงร้านเป็นผู้ใด พลันรู้สึกจุกขึ้นมาในทันที ลืมเลือนแม้กระทั่งจะดึงเศษไม้ที่แทงอยู่ทั่วใบหน้าออก
กว่าจะไต่เต้าขึ้นมาเป็นมือดีของคหบดีอย่างเจ้าของที่ดินแซ่จ้าวได้ พวกเขาสามพี่น้องประพฤติกำเริบเสิบสานจนเคยชิน แต่สาเหตุที่ทำให้สามารถวางอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองหลวงอันรุ่งเรืองภายใต้แผ่นฟ้าผืนนี้ได้
นั่นเป็นเพราะพวกเขาทราบแน่แก่ใจว่าผู้ใดสามารถที่จะข่มเหงได้ และผู้ใดไม่สามารถที่จะรังควานได้ จึงเลือกบีบแต่มะพลับนิ่ม ซึ่งพวกเขาเข้าใจในหลักข้อนี้ดี
เพียงแต่…ไฉนวันนี้จึงได้ตกอยู่ใต้เงื้อมมือของพญามัจจุราชได้!
ได้ยินว่าอีกฝ่ายเมื่อครั้งยังเยาว์วัยร่ำเรียนวิชายุทธ์ได้เพียงเล็กน้อย ก็เข้ารับตำแหน่งเป็นมือปราบของหน่วยหยาเหมินแห่งสามตุลาการ ตามผู้เป็นอาจารย์ ได้รับการฝึกฝนถึงขั้นสูงสุดในหน่วยประตูหกบาน และได้ทำคดีใหญ่มากมายในระหว่างนั้น ได้ติดตามอาจารย์ตนเองที่เป็นถึง ‘มือปราบเทวดา’ ท่องยุทธภพหลายครั้งหลายครา ออกเดินทางไปทั่วทุกหนแห่งในเทียนเฉาและแว่นแคว้นเล็กที่อยู่ข้างเคียงเพื่อจับกุมผู้ที่กระทำผิดกลับมาพิพากษา
และเมื่อไม่นานมานี้ อีกฝ่ายเพิ่งได้รับป้ายป้ายอาญาสิทธิ์สีนิลของ ‘มือปราบเทวดา’ จากฮ่องเต้มาถือครองต่อ ทำให้อาจารย์ที่ชราภาพแล้วได้กลับไปพักในบ้านเดิมและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
เขาคือศิษย์คนโตของมู่เจิ้งหยางอดีตมือปราบเทวดา โดยเขาได้รับฉายาเป็นมือปราบเทวดาคนปัจจุบัน…เมิ่งอวิ๋นเจิง บุคคลที่เดียดฉันท์คนชั่ว ส่งเสริมคนดีเช่นนี้ ซึ่งสำหรับคนที่กระทำตนเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์ คอยหนุนหลังคนชั่วให้กระทำผิดเช่นชายฉกรรจ์ทั้งสามคนนี้ หากไม่นับเมิ่งอวิ๋นเจิงเป็นพญามัจจุราชแล้วจะนับเป็นอย่างไรได้
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่วิ่งหนีตอนนี้แล้วจะวิ่งหนีเมื่อใดกันเล่า! หนี!
ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นออกวิ่งนำ สหายทั้งสองค่อยผุดลุกขึ้นราวกับถูกสายฟ้าฟาดผ่า วิ่งไล่หลังชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ไป
ข้างในและนอกร้านแป้งย่างเฉียวจี้ตอนนี้เงียบกริบ ผู้คนมากมายมองไปยังเงาร่างสามสายที่วิ่งลอยไป ก่อนจะเบนสายตามาทางเมิ่งอวิ๋นเจิง กลอกมองไปมาราวกับอยากจะเร่งให้ทำอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก
ในที่สุดบุรุษที่เป็นถึงมือปราบเทวดาก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ…
“ท่านยายเฉียว ม้านั่งกับโต๊ะที่หักไป ไว้ข้าจะชดใช้ให้”