ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สตรีอ่อนโยนล้วนแฝงพิษร้าย บทนำ-บทที่ 1
ท่านยายเฉียวที่เพิ่งได้รับการช่วยพยุงจากป้าเฉียวผู้เป็นสะใภ้ตนก็ชะงักไป…ที่หักไปมีเพียงม้านั่ง โต๊ะทุกตัวก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ หญิงชราเพิ่งคิดได้ดังนี้ ก็เห็นเมิ่งอวิ๋นเจิงคว้าขาโต๊ะตัวหนึ่งขึ้นมาแล้วขว้างออกไป การขว้างก็ไม่ได้พิเศษพิสดารแต่อย่างใด เพียงขว้างออกไปตรงๆ ไม่เห็นใช้แรงเท่าใด โต๊ะก็ปลิวไปไกลหลายจั้ง กอปรกับเป็นวิถีแบบ ‘ใช้หนึ่งล้มสาม’ เช่นเดียวกัน หลังจากโต๊ะกระแทกถูกชายฉกรรจ์ทั้งสามอย่างหนักหน่วงแล้วก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แผ่นไม้และเศษไม้ที่แตกกระจายก็ปักลงบนแผ่นหลังหยาบหนาและขาของชายฉกรรจ์ทั้งสาม
แต่ครานี้กลับไม่ได้ยินพวกเขาร้องโอดโอยเสียงหลง เนื่องจากร่างที่หยาบใหญ่ทั้งสามล้มลงกับพื้น สลบไสลไม่ได้สติไป
“ดี!” “ทำได้ดีมาก…” “ยอดเยี่ยม!” ฝูงชนจากร้านแป้งย่างและเพิงร้านขายโจ๊กต่างก็ชื่นชมโห่ร้องดังสนั่น ตบโต๊ะเสียงดังปึงปังแสดงความลิงโลดยินดีในใจออกมา
“ท่านเมิ่งพอลงมือ เพียงคนเดียวก็เอาอยู่ ปราบความโอหังพวกมันได้เสียที!”
“เพียงคนเดียวที่ไหนกัน สามคนต่างหาก แค่ขว้างออกไปสบายๆ ก็ซัดทั้งหมดล้มคว่ำแล้ว ต้องอย่างนี้สิถึงจะสาแก่ใจพวกข้า!” ลูกค้าเฒ่าเอ่ยชมเสียงดัง สองมือยกขึ้นทำท่าทาง แต่แล้วก็ชะงักไปราวกับนึกอะไรขึ้นได้…
“ว่าแต่…ท่านเมิ่งมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดหรือ เหตุใดถึงได้ออกมาจากข้างในร้าน” พลางลูบคางด้วยความสับสน “พวกข้ามารอร้านเฉียวจี้ย่างแป้งแผ่นแรกอยู่ข้างเตาตั้งแต่เช้า แล้วยังกินโจ๊กหม้อแรกที่แม่นางเจียงทำก็ไม่เห็นวี่แววของท่านเมิ่งเลยสักนิด เอ…ที่แท้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน…” อ๊ะ…ช้าก่อน! หรือว่าข้าได้ถามในสิ่งที่ไม่ควรถามเข้า เหตุใดใบหน้าของฝ่ายนั้นแปรเปลี่ยนเป็น…เคร่งขรึม
ลูกค้าเฒ่าเหลือบมองดูตาเฒ่าเฉียวและท่านยายเฉียว ไฉนคู่สามีภรรยาสกุลเฉียวถึงได้มองไปทางเจียงหุยเสวี่ยโดยไม่ได้ตั้งใจและดูมีลับลมคมใน จากนั้นก็แลเห็นเมิ่งอวิ๋นเจิงมองไปที่แม่นางเช่นกัน
เจียงหุยเสวี่ยยังคงนั่งอยู่กับพื้น โม่เอ๋อร์น้อยที่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดนางเริ่มสงบลงแล้ว เพียงแต่มือเล็กยังคงคว้าปกเสื้อของผู้เป็นพี่สาวไม่ยอมปล่อย
สายตาเคลือบแคลงที่ทุกคนมองไปยังนางแฝงแววแปลกใจ เจียงหุยเสวี่ยถูกจับจ้องจนใบหน้าเริ่มซับสีเรื่อ นางสอดประสานสายตาเข้ากับดวงตาคู่นั้นของเมิ่งอวิ๋นเจิง ใจของนางก็เต้นแรงไม่เป็นส่ำ อ้าปากจะเอ่ยคำแต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
“เขามา…ฟ้ายังไม่ทันสาง…ก็มาแล้ว” เสียงบางใสเอ่ยขึ้น เจียงหุยเสวี่ยตกตะลึง ก่อนที่จะค้นพบว่าเป็นวาจาของคนตัวเล็กในอ้อมกอด
“เขามาทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน…” โม่เอ๋อร์สูดจมูก ดวงตาที่มีน้ำฉ่ำวาวเลิกขึ้น ทั้งที่ดูประหม่าเขินอายอย่างเห็นได้ชัด แต่เวลาที่จับจ้องเมิ่งอวิ๋นเจิงยังให้ความรู้สึกดื้อดึง “มา…มาขอกิน”
…ขอ ขอกิน?
ได้ยินดังนั้น ผู้คนถึงกับปากอ้าตาค้าง แม้แต่แป้งย่างที่คาอยู่ในปากก็แทบจะร่วงลงมา
บุรุษร่างสูงใหญ่ที่ถูกกล่าวหาว่า ‘มาขอกิน’ แม้จะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า แต่ทว่าหน้าผากกลับเต้นตุบๆ
แม่นางที่ถูกมองว่าเป็นคนในครอบครัวของผู้เสียหายปิดปากน้องสาวตัวเองไม่ทัน ทำได้เพียงลอบระบายลมอยู่ในใจ แล้วฝืนยิ้มออกมา
เมื่อสองชั่วยามก่อน
เช้าตรู่กลางฤดูเหมันต์ พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินมืดครึ้ม
เทียนถูกจุดขึ้นในครัวทอเป็นแสงอบอุ่นวงเล็กๆ เจียงหุยเสวี่ยที่ตื่นเช้ามากเริ่มต้นทำงาน นางใส่ฟืนลงในเตาเล็กอย่างคล่องแคล่ว ทำช่องในเตาให้ลมผ่านได้ง่าย จุดไฟขึ้นและพัดกระพือ เปลวไฟลามเลียอยู่บนฟืนไม้เสียงดังเปรี๊ยะๆ ไม่นานก็ทำให้เตาเล็กอุ่น
นางทำความสะอาดมือ เติมน้ำใสลงในหม้อเหล็ก แล้วเทธัญพืชที่ผ่านการแช่จนเปียกชุ่มมาทั้งคืนลงในหม้อเหล็กที่มีน้ำเดือด นางปรับความแรงไฟให้พอเหมาะ แล้วค่อยๆ ทำโจ๊ก
แม้ว่าตรอกซงเซียงแห่งเฉิงเป่ยนี้จะได้ฉายาที่ฟังดูน่าเวทนาอย่าง ‘ตรอกผินหมิน’ แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ไม่กี่เดือนอย่างเจียงหุยเสวี่ย กลับรู้สึกว่าชาวบ้านในตรอกซงเซียงต่างก็ใช้ชีวิตประจำวันของตนกันได้อย่างมีสีสันดี
อย่างเช่นในเรือนหมู่ที่เจียงหุยเสวี่ยเลือกย้ายเข้ามาอยู่ ข้างหน้าเป็นร้านแป้งย่างเฉียวจี้และเป็นที่ตั้งของเพิงร้านขายโจ๊ก ข้างหลังพอเดินเข้าไปก็จะเป็นลานตรงกลางที่ทุกคนใช้สอยร่วมกัน ทั้งยังมีบ่อน้ำอยู่หนึ่งบ่อ แม้ว่าจะเป็นเรือนหมู่ที่มีผู้คนมากมายอาศัยอยู่ร่วมกัน แต่ก็มีห้องครัวและห้องอาบน้ำเล็กๆ แยกอยู่ในแต่ละบ้าน การใช้ชีวิตจึงมีความเป็นส่วนตัวดี และยังให้ความรู้สึกว่าคนยิ่งมากยิ่งครื้นเครง
ที่แห่งนี้ คนที่นี่ ทำให้นางหวนนึกถึงชีวิตความเป็นอยู่ก่อนนางอายุหกขวบ ผู้คนและเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นรูปธรรม นางย่อมจำได้เพียงเลือนราง แต่ทว่ายังคงมีความรู้สึกหนึ่งที่นางเคยถูกช่วงชิงพรากจากไปนานแสนนานแล้ว นั่นก็คือความรู้สึกของคืนวันอันสงบสุข
นางคิดว่าโม่เอ๋อร์ก็น่าจะชื่นชอบเช่นกัน
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ สาวน้อยก็กล่าววาจาบ่อยมากขึ้น แม้แต่อาการนิ่งเงียบไม่พูด และดวงตาที่คอยมองอย่างระแวดระวังก็ยังส่อแววของความสงบ ไม่ใช่อาการหวาดระแวง
ตอนที่ชายผู้นั้นมา นางกำลังใส่อาหารแห้งที่มีสรรพคุณทางยาอย่างไหวซาน เมล็ดซิ่ง เม็ดบัวลงไปในหม้อใหญ่ คนไม้พายในมืออย่างช้าๆ คนไปคนมา หัวใจก็สั่นไหว ราวกับว่าพอมองออกไปนอกห้องครัวโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่กำยำยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
เขาสวมใส่อาภรณ์สีดำทั้งตัว เป็นสีเข้มแบบที่เขาใส่เป็นประจำ
บนเอวเขาคาดเข็มขัดหนังสีดำ แนวบ่าที่กว้างและตั้งตรงช่วยขับเน้นให้ช่วงลำตัวดูทะมัดทะแมงเป็นพิเศษ เขามีรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสันกอปรกับช่วงแขนขาที่ยาว เมื่อมาปรากฏตัวอยู่ตรงนั้นก็แทบจะปิดช่องประตูเล็กเสียมิด
ในวันที่อากาศหนาวจัดเช่นนี้ กลับไม่เห็นว่าเขาจะใส่เสื้อขนสัตว์หรือเสื้อคลุมเพิ่มสักตัว ผมดำรวบไว้ข้างหลัง แต่สองข้างศีรษะกลับมีปอยผมหลุดลุ่ยออกมาจากการผูกมัด ห้อยเคลียบนบ่ากว้างกับหน้าอก นางเพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่วันมานี้…ว่าเขามีผมหยักศก
หยักศกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่เส้นผมที่เป็นลอนคลื่นเล็กน้อยนั้น เมื่อปรกลงมาจากข้างศีรษะของเขาและระบนสองข้างแก้ม ในสายตาของนางแล้ว ช่วยทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่ไร้ซึ่งความปรานีของเขาดูนุ่มนวลขึ้นมาก
ในช่วงเวลาไม่กี่วันมานี้ เพียงแค่เมื่อถึงเวลา ภายนอกห้องครัวของนางก็จะมีเขาเป็นแขกผู้มาเยือน แรกเริ่มเขามาที่ตรอกซงเซียงเพื่อชี้แนะวิชาการต่อสู้ให้กับเด็กๆ