หลังโต้เถียงกันจนอาหารเย็นผ่านพ้นไป จ้าวฉงอีก็เอ่ยปากรับรองกับท่านแม่ซูอยู่หลายครั้งว่าร่างกายนางไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ท่านแม่ซูถึงได้วางใจไปทำงานอื่น
นางมองส่งท่านแม่ซูเดินจากไป พอหันหน้ากลับมาซูปั้นซย่าที่รับปากมารดาว่าจะคอยอยู่เป็นเพื่อนนางก็ลากตัวซูเทียนตงเผ่นหนีแต่แรกแล้ว ในลานบ้านจึงเหลือแค่จ้าวฉงอีคนเดียว ขณะที่นางเห็นซูปั้นซย่าลอบย่องหนีไปอย่างลับๆ ล่อๆ ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ถ้านางคาดเดาไม่ผิด แม่เด็กน้อยผู้นี้คล้ายจงใจหลบหน้านาง…คงร้อนตัวกระมัง
ภายในลานบ้านเงียบสงบลงแล้ว จ้าวฉงอีเงยหน้ามองท้องฟ้า คืนวันนี้กับคืนวันที่ต่อสู้บนหน้าผาไม่เหมือนกัน ยามนี้แสงจันทร์สว่างไสวยิ่งนัก นางยืนอยู่ในลานบ้านตามลำพังครู่หนึ่งถึงค่อยๆ เดินกลับห้องของซูเสี่ยวหม่าน
พอเดินเข้าห้องปิดประตูเรียบร้อย จ้าวฉงอีเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะหยิบผ้าห่มผืนหนึ่งจากในตู้ออกมาพับทบกันเรียบร้อยแล้วก็ยัดเข้าไปใต้ผ้าห่มบนเตียงนอน มองแวบแรกราวกับข้างในนั้นมีคนนอนอยู่ หลังลุกมาพิจารณาดูก็จัดให้เข้าที่อีกหน่อย จนกระทั่งไม่มีพิรุธใดแน่แล้วถึงได้ลุกขึ้นปัดมืออย่างพึงพอใจ ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย
บิดาบุญธรรมบอกว่าตั้งแต่เด็กความสามารถในการฟื้นตัวของร่างกายนางก็เหมือนสัตว์ประหลาดตัวน้อยไม่มีผิด การต่อสู้อย่างดุเดือดกับโจวเวินหรานในคืนนั้นได้บาดแผลบนร่างมาหลายแห่ง ทั้งยังพลัดตกจากหน้าผาสูงถึงเพียงนั้น ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงไม่ตายก็ต้องพิการไปแล้ว ต่อให้โชคดีไม่พิการ ทว่าไม่ถึงสิบวันหรือครึ่งเดือนจะไม่มีทางลงจากเตียงไหวอย่างเด็ดขาด แต่ตอนนี้จ้าวฉงอีรับรู้ได้ว่าตนเองไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว นอกจากเวลาเคลื่อนไหวยังปวดเนื้อเมื่อยตัวอยู่บ้าง…ทว่าสำหรับนางแล้วความเจ็บปวดเพียงแค่นั้นสามารถมองข้ามไปได้
จ้าวฉงอีเปิดหน้าต่างกวาดสายตามอง ก่อนจะปีนออกจากหน้าต่างไปจากบ้านสกุลซูเงียบๆ
บังเอิญว่ายามนี้มีรถม้ากำลังจะออกจากตำบล จ้าวฉงอีทะยานร่างขึ้นไปนั่งอยู่ด้านหลังรถม้าแล้วออกจากตำบลตงหลีมาได้อย่างราบรื่น
เดินย่ำอยู่ใต้แสงจันทร์มาสักพัก จ้าวฉงอีก็หวนกลับมายังภูเขาลูกเดิมอีกครั้ง
ขณะก้าวผ่านต้นพุทราป่าข้างทางต้นนั้นก็ยื่นมือเด็ดมาสองลูกแล้วเดินไปแทะไป ระหว่างกำลังกัดพุทราเสียงดังกร้วมๆ ก็พลันสังเกตเห็นเส้นทางเบื้องหน้าถูกปิดตายไปแล้ว และยังแปะแผ่นกระดาษปิดผนึกของทางการด้วย…
ดูท่าวันนั้นหลังจากนางตกหน้าผาไป โจรภูเขาที่อยู่บนเขาลูกนี้คงถูกกวาดล้างแล้ว ก็จริง ผู้บัญชาการหน่วยเทียนฉีลงมือเอง การกวาดล้างรังโจรย่อมไม่ใช่เรื่องยากเลย
เมื่อเดินข้ามแผ่นกระดาษปิดผนึก จ้าวฉงอีระวังตัวขึ้นมาเล็กน้อย นางโยนแกนพุทราในมือทิ้งไป แทรกซึมเข้าสู่ส่วนลึกของภูเขา
ตอนผ่านเส้นทางบนเขาที่คับแคบ คลำทางมาถึงรังโจรแห่งนั้นก็พบว่าที่นั่นว่างเปล่าดังคาด หลงเหลือเพียงเศษซากความเละเทะยุ่งเหยิง ทั้งยังมีคราบเลือดประปรายประหนึ่งผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมา จ้าวฉงอีเดินจนเริ่มเหนื่อยล้าบ้างแล้ว นางทรุดตัวลงนั่งพร้อมยกมือเท้าคาง สีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึมจริงจัง…
เสี่ยวหม่านจะไปที่ใดได้นะ ยังอยู่หรือตายแล้ว?
จ้าวฉงอีกำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก นางจึงรีบลุกขึ้นไปซ่อนตัว
มีคนสองคนเดินเข้ามา เป็นเจ้าหน้าที่ทางการจากที่ว่าการ
“มีอะไรหรือไม่ เจออะไรเข้าแล้วใช่หรือไม่” มีคนหนึ่งเอ่ยปากถาม
“เมื่อครู่ข้าเหมือนเห็นมีคนเข้ามา…” อีกคนตอบกลับ
คนทั้งสองสำรวจสอดส่องไปทั่วแต่ก็ไม่พบสิ่งใด
“เจ้าคงตื่นตูมมากเกินไปกระมัง”
“อืม คงจะตาฝาดไป…”
“ถึงจะบอกว่าหนีไปได้คนหนึ่ง แต่ที่นี่ถูกกวาดล้างไม่เหลือ ในเมื่อคนผู้นั้นหนีออกไปแล้วคงไม่มีทางกลับมาติดกับดักเองอีกหรอก…เช่นนี้จะต้องโง่เง่าเพียงใดกัน”
พวกเขาพูดคุยกันพลางเดินออกไป
จ้าวฉงอีที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดลูบจมูกป้อยๆ รู้สึกคล้ายว่าตนเองถูกเอ่ยถึง ใช่แล้ว นางก็คือเจ้าโง่ที่เข้ามาติดกับเองคนนั้น…