แม่สามีจำนวนมากยามเลือกลูกสะใภ้จะไม่ชอบคนที่มีรูปโฉมงามเย้ายวนเกินไป เกรงว่าหน้าตาที่ยั่วยวนไม่มีสง่าราศีจะเอาไปอวดใครไม่ได้ ยิ่งเกรงว่าจะทำให้บุตรชายลุ่มหลงหมกมุ่นกับสตรีจนเสียปณิธาน แต่หรงฮูหยินคิดว่าแม้กู้ไจ้หลีจะมีรูปโฉมงามพริ้งเพริศเกินไป ทว่าบุคลิกลักษณะกิริยาท่าทางสามารถข่มรูปโฉมงดงามนี้อยู่ อุปนิสัยและความประพฤติก็ไม่เลวเช่นกัน
แม้กู้ไจ้หลีจะเคยผ่านการแต่งงานมาครั้งหนึ่ง หรงฮูหยินก็รู้สึกเพียงว่าคะแนนลดลงเล็กน้อย กลับไม่ได้ถือสามากนัก บุรุษแต่งภรรยารับอนุ ภรรยาตายก็แต่งภรรยาใหม่ ไม่ตายแต่ไม่พอใจยังหย่าแล้วแต่งคนใหม่ได้ แล้วเหตุใดสตรีต้องเสียเวลาทั้งชีวิตไปกับบุรุษคนเดียว
หรงฮูหยินคิดจากใจจริงว่าหญิงที่คุมสามีไม่อยู่แล้วถูกรังแกในระหว่างแต่งงานเป็นพวกไร้ประโยชน์ หญิงที่รู้ว่าบุรุษที่แต่งงานด้วยไม่ใช่คนแต่กลับไม่คิดขอหย่าแล้วหนีไปให้ไกลเพื่อหยุดยั้งความเสียหายให้ทันกาลเป็นพวกโง่เง่า หญิงที่สามีตายแล้วเฝ้ารักษาพรหมจารี อาศัยเงินจากราชสำนักประทังชีวิตยิ่งเป็นพวกไม่เอาไหน
สิ่งที่หรงฮูหยินถือสาอย่างแท้จริงคือ…กู้ไจ้หลีอายุมากกว่าหรงหยวนโย่วถึงสี่ปี!
หากปีนี้หรงหยวนโย่วอายุเลยยี่สิบห้ายี่สิบหก แต่งภรรยาที่แก่กว่าเขาสี่ปีก็ใช่จะไม่ได้ ทว่าเขาเพิ่งอายุสิบหก หรงฮูหยินห่วงว่าบุตรชายจะเกิดนึกครึ้มชั่วครู่ชั่วยามแล้วตัดสินใจผิดด้วยความที่ยังเด็กเกินไป…
หลังกู้เจี้ยนหลีกับพี่สาวปลีกตัวมาจากทางบิดาก็ไปดูแลแขกเหรื่อสตรี จะอย่างไรกู้เจี้ยนหลีก็เป็นบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้ว จึงไม่ต้องวุ่นกับงานเท่าพี่สาว นางดูแลรับรองสตรีที่รู้จักจำนวนหนึ่ง เพียงครึ่งชั่วยามก็หาข้ออ้างออกมาก่อน
กู้เจี้ยนหลีรู้จากปากบ่าวรับใช้ก่อนแล้วว่าจีอู๋จิ้งไปอยู่ในศาลารับลมตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือที่เปล่าเปลี่ยวลับตาคนในเรือนหลังคนเดียว เช้านี้เขาไม่อยากกินอะไร งานเลี้ยงอาหารกลางวันก็ต้องรอถึงยามอู่กว่าจะเริ่ม นางกลัวเขาจะหิวจึงนำของกินจำนวนหนึ่งไปยังศาลา
วันนี้อากาศดียิ่ง แสงแดดเพียงพอและไม่มีลม แต่เมื่อขึ้นมาอยู่ที่สูง อุณหภูมิกลับลดลงและมีลมแล้ว
กู้เจี้ยนหลีวางโจ๊กปลาลงบนโต๊ะศิลา ดันไปให้จีอู๋จิ้งพลางกล่าวว่า “กินก่อนสักนิด ไม่รู้อีกประเดี๋ยวงานเลี้ยงกลางวันจะลากยาวไปถึงเมื่อไร”
จีอู๋จิ้งจับช้อนคนโจ๊กปลา ชิมไปหนึ่งคำแล้วคนต่อด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย
“เมื่อครู่ข้าเห็นหลานชายสกุลเฉินดูน่าสนใจไม่หยอก…” กู้เจี้ยนหลีเท้าคาง เล่าเรื่องสนุกที่ได้ยินมาเมื่อครู่ก่อนให้ชายหนุ่มฟังไม่หยุด
บนหน้าจีอู๋จิ้งไม่มีอารมณ์ใดๆ กินโจ๊กสลับกับตอบรับเป็นครั้งคราว
ข้างนอกศาลาหนาวยิ่ง ผ่านไปครู่เดียวโจ๊กปลาก็เย็นชืดแล้ว จีอู๋จิ้งเองก็เพิ่งจะกินได้เพียงสี่ห้าคำ เขาวางช้อนลงก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ใคร่พอใจ
“ไม่อร่อย”
“เช่นนั้นข้าจะไปดูว่ายังมีอะไรอร่อยอีกหรือไม่” กู้เจี้ยนหลีสั่งให้จี้ซย่าเก็บกล่องข้าว เสร็จแล้วก็พานางเดินลงบันไดสูงไป
เมื่อลงมายืนอยู่ที่บันไดขั้นล่างสุด กู้เจี้ยนหลีก็เงยหน้ามองชายหนุ่มที่อยู่ในศาลาปราดหนึ่งแล้วถึงเดินหน้าต่อไป
จี้ซย่าอดทนแล้วอดทนเล่าแต่ก็ยังคงอดไม่ไหว กล่าวขึ้นเสียงเบา “ฮูหยิน บ่าวเห็นนายท่านห้าไม่สนใจบรรดาเรื่องสนุกที่ท่านเล่าแม้แต่น้อย เหตุใดท่านต้องเล่าเสียมากมายปานนั้นด้วยเจ้าคะ”
“ข้าชอบเล่าให้เขาฟังนี่” กู้เจี้ยนหลียิ้มจนตาเป็นเส้นโค้ง
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็พูดอีกว่า “เขาก็ชอบฟังข้าเล่าเช่นกัน”
จี้ซย่าโคลงศีรษะ “แสดงว่าจี้ซย่าโง่เขลาแล้ว มองไม่ออกสักนิดว่านายท่านห้าชอบฟัง…”
กู้เจี้ยนหลียกยิ้มมุมปาก ไม่ได้อธิบายอันใด ผู้อื่นจะมองออกหรือไม่ จะรู้หรือไม่ล้วนไม่เป็นไร ตัวนางรู้ดีแก่ใจก็พอแล้ว