ด้านหลัวมู่เกอเมื่อมาถึงครัวก็พบกับจี้ซย่าที่กำลังต้มโจ๊กผัดผักอยู่ เมื่ออีกฝ่ายเห็นนางเข้าก็ถามขึ้นว่า “แม่นางหลัว หม้อหินที่ใช้ต้มยาอยู่ตรงนี้ ท่านลองดูว่าจะใช้ใบใด แล้วยังมีอะไรให้บ่าวช่วยหรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าทำงานของตนเองไปเถิด ข้าทำเองได้” หลัวมู่เกอมองดูจี้ซย่าโรยเกลือลงไปในหม้อแล้วกำชับเพิ่มเล็กน้อย “ฮูหยินเลือดลมไหลเวียนไม่ดี ช่วงนี้ควรกินอาหารรสจืดเป็นหลัก นายท่านห้าเองก็กินรสเค็มมากไม่ได้ พยายามอย่าใส่เกลือกับน้ำมันมากเกินไปจึงจะดี”
“เจ้าค่ะ บ่าวจำไว้แล้ว!”
หลัวมู่เกอเลือกหม้อใบหนึ่งมาแล้วเดินถือออกไปต้มยาอยู่หน้าครัว
จี้ซย่าลอบมองหลัวมู่เกอจากบานประตูที่เปิดไว้ ในใจคิดว่าแม่นางหลัวผู้นี้ช่างแตกต่างจากสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงนัก แม้จะมีรูปโฉมงดงาม ทว่าจี้ซย่าไม่ยอมรับหรอกว่าใต้หล้านี้จะมีสตรีใดงามเทียบเท่ากู้เจี้ยนหลี นางเพียงรู้สึกว่าหลัวมู่เกอสวมชุดกระโปรงสีขาวพิสุทธิ์สง่างามราวกับดอกติงเซียงบนยอดไม้ ทว่ากลับดูจืดชืด ซ้ำยังราวกับแผ่กลิ่นอายเย็นชาเป็นปราการกันผู้อื่นออกห่างนับพันหลี่ จึงดูคล้ายหิมะเย็นเยือกที่เกาะพราวบนกิ่งเหมยแดงเสียมากกว่า
ในจังหวะนี้เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยรีบรุดเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าหลัวมู่เกอพลางกล่าวยิ้มๆ “ไม่พบกันนานเชียวนะ มู่เกอ”
หลัวมู่เกอกำลังโบกพัดเบาๆ คุมความร้อนของหม้อยาอยู่ ยามนี้นางเงยหน้ามองเยี่ยอวิ๋นเยวี่ยแวบหนึ่งแล้วก้มลงไปตามเดิมพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ไม่พบกันนานจริงๆ”
เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ตอนนั้นเจ้าตั้งใจใช่หรือไม่!”
“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าหมายถึงเรื่องใด” น้ำเสียงของหลัวมู่เกอยังคงเรียบเฉย
ตอนที่เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยปรากฏตัวขึ้นจี้ซย่าก็เริ่มระแวดระวังแล้ว พอเห็นว่าอีกฝ่ายตรงมาหาหลัวมู่เกอ จี้ซย่าก็ยิ่งตื่นตัวมากขึ้นอีก นางยืนลอบฟังบทสนทนาของทั้งสองอยู่แถวประตูอย่างตั้งอกตั้งใจ
“จีเจาผู้นี้นิสัยแปลกประหลาดเอาแน่เอานอนไม่ได้ ชอบสังหารคนกระทำทัณฑ์ทรมานอยู่เป็นนิจ ผู้ที่ตายด้วยน้ำมือเขามีมากมายนับไม่ถ้วน ชมชอบการแล่เนื้อเถือหนัง สวมเสื้อผ้าและจุดโคมที่ทำจากหนังมนุษย์ ในเรือนชานประดับรูปสลักจากกระดูก กับสตรียิ่งชอบชำเราขืนใจ ฉุดคร่าสตรีมาแล้วนับไม่ถ้วน เด็กสองคนที่พากลับมาวันนี้ก็เป็นลูกชู้ มิหนำซ้ำเขายังมีลูกชู้อีกมากมายอยู่ด้านนอก! ที่ถูกพิษร้ายแรงก็เป็นเพราะกรรมตามสนอง ไม่นานจะต้องทรมานจนตาย!”
หลัวมู่เกอฟังอีกฝ่ายพูดจบแล้วพยักหน้ารับ กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ตอนนั้นข้าเคยพูดเช่นนี้กระมัง จำไม่ค่อยได้แล้ว”
“แต่ตอนนั้นเจ้าไม่ได้บอกข้าว่าเจ้าเป็นศิษย์น้องของนายท่านห้า!” เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยเอ่ยอย่างกรุ่นโกรธ
“ความสัมพันธ์ของข้ากับเขาจำเป็นต้องกล่าวออกไปด้วยหรือ” หลัวมู่เกอช้อนตามองอีกฝ่าย “เรื่องพวกนั้นข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน เป็นเจ้าที่สืบเรื่องนายท่านห้าจากข้า ข้าจึงเล่าให้เจ้าฟังด้วยความหวังดี หากเจ้าไม่เชื่อไปลองถามเขาเองก็ใช้ได้แล้ว”
“อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าจงใจว่าร้ายเพราะไม่อยากให้ข้าแต่งงานกับเขา! เจ้าพูดมา เป็นเพราะเจ้าอยากแต่งงานกับเขาใช่หรือไม่!”
หลัวมู่เกอมุ่นคิ้วเล็กน้อย “เจ้าคิดมากไปแล้ว”
เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยก้าวขึ้นหน้าคิดจะจับไหล่หลัวมู่เกอไว้อย่างไม่ยินยอม นางกำลังจะดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น ทว่ามือของนางเพิ่งจะแตะถูกไหล่ของหลัวมู่เกอ หลัวมู่เกอก็เบี่ยงตัวเล็กน้อย กลับกลายเป็นฝ่ายปักเข็มเงินลงตรงหัวไหล่เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยแทน
เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยร้องออกมาเสียงหนึ่งด้วยความเจ็บก่อนทรุดลงคุกเข่ากับพื้น เหงื่อซึมผุดพรายทั่วตัวอย่างรวดเร็ว
จี้ซย่าที่ลอบฟังอยู่ตรงประตูพลันรู้สึกตื่นตระหนก แม่นางหลัวเคยจงใจว่าร้ายนายท่านห้าให้เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยฟัง? จะเพียงแค่ได้ยินมาอีกทีจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดหรือไม่จี้ซย่าไม่แน่ชัดนัก ทว่านางรู้สึกว่าควรนำเรื่องนี้ไปรายงานกู้เจี้ยนหลีเสียก่อน