รอจนฟ้าสางหลินหมัวมัวก็เข้ามาปรนนิบัติกู้เจี้ยนหลีอาบน้ำแต่งตัว แม้การแต่งงานครั้งนี้จะพิเศษอยู่สักหน่อย ทว่าวันนี้นางก็ยังคงต้องไปคารวะผู้ใหญ่อยู่ดี
ระหว่างเดินอยู่ใต้ชายคากู้เจี้ยนหลีรู้สึกไม่วางใจจึงเอ่ยถามหลินหมัวมัวขึ้นว่า “ท่านมากับข้าเช่นนี้ เตรียมการปรนนิบัติคุณชายหกกับคุณหนูสี่แล้วใช่หรือไม่”
“ฮูหยินโปรดวางใจ ตอนบ่าวออกมานายน้อยทั้งสองยังหลับอยู่ ลี่จื่อคอยดูแลแทนเจ้าค่ะ” หลินหมัวมัวยังกล่าวเสริมอีกว่า “นางหนูลี่จื่อผู้นี้แม้จะทึ่มทื่อไปบ้าง แต่เรื่องง่ายๆ ที่กำชับไว้นางล้วนทำได้ดีเจ้าค่ะ”
กู้เจี้ยนหลีพยักหน้า “ไว้ตอนกลับเรือนข้าจะไปดูพวกเขาเสียหน่อย”
หลินหมัวมัวที่เดินตามอยู่ข้างหลังครึ่งฝีก้าวลอบมองแผ่นหลังเหยียดตรงสง่างามของกู้เจี้ยนหลีอย่างประหลาดใจ เดิมนางคิดว่านายหญิงที่แต่งเข้ามาจะเป็นสตรีที่เอาแต่ร่ำไห้เสียงสะอื้น คิดไม่ถึงว่ากู้เจี้ยนหลีจะสงบเสงี่ยมถึงเพียงนี้ นี่เหมือนกับสตรีที่รู้ทั้งรู้ว่าตนเองกำลังรอความตายเสียเมื่อไรกัน อีกฝ่ายไม่เพียงไม่มีน้ำตาสักหยด ยามถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน หากเพียงแค่นี้ก็แล้วไปเถอะ นี่ยังเป็นห่วงเป็นใยนายน้อยทั้งสองอีก พิธีรีตองใดล้วนไม่ขาดตกบกพร่อง ราวกับตัดสินใจจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ให้ดีเสียอย่างนั้น
ยิ่งพอคิดว่าสตรีผู้นี้เพิ่งอายุสิบห้าปี หลินหมัวมัวก็ยิ่งประหลาดใจ
เมื่อถึงที่หมายซ่งหมัวมัวเปิดม่านพลางรายงานว่าฮูหยินห้ามาถึงแล้ว จากนั้นกู้เจี้ยนหลีค่อยก้าวเข้ามาในห้องโถง ทำลายบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะไปในพริบตา สายตานับไม่ถ้วนต่างหยุดลงที่นาง มองสำรวจทั่วทั้งร่างราวกับอยากจ้องให้ทะลุปรุโปร่ง
สมาชิกสตรีในจวนก่วงผิงป๋อนี้ กู้เจี้ยนหลีรู้จักแทบทุกคนอยู่แล้ว
นางทำเป็นมองไม่เห็นสายตาที่มองมาราวกับรอชมเรื่องสนุกเหล่านั้น เดินช้าๆ ไปหยุดอยู่ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าแล้วคารวะอย่างถูกต้องตามแบบแผน ท่าทางสงบนิ่งเหมาะสมไร้ข้อผิดพลาดใด
“ลุกขึ้นเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้ารับก่อนสั่งให้ซ่งหมัวมัวมอบเงินรับขวัญให้
จากนั้นกู้เจี้ยนหลีจึงหันไปเผชิญหน้ากับบรรดาสะใภ้ทั้งสาม เรียกขานพวกนางว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้สาม” ตามลำดับ
สีหน้าฮูหยินรองประดักประเดิดอย่างเห็นได้ชัด
คำเรียกขานถูกต้องตามแบบแผน ทว่าบรรยากาศในห้องโถงกลับแปลกพิกลยิ่งนัก
ตอนนั้นเองจู่ๆ คุณหนูใหญ่จีเยวี่ยหมิงก็เอ่ยปากขึ้นมา “เจี้ยนหลี ไม่ได้เจอกันสามเดือนกว่า ยามนี้พบกันอีกครั้งมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมาย คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะไม่ได้เป็นพี่สะใภ้ของข้า แต่แต่งเข้ามาเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ท่านอาห้าแทน”
จีเยวี่ยเหวินกับจีเยวี่ยเจินพากันมองไปที่ผู้พูดด้วยสายตาพิลึกพิลั่น
บรรยากาศที่ชวนประดักประเดิดอยู่แล้วทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
กู้เจี้ยนหลีพลันนึกถึงถ้อยคำของผู้เป็นบิดาขึ้นมา
‘เสวียนเค่อเป็นคนหนุ่มที่ไม่เลวทีเดียว ดูท่าคงจะมีอนาคตไกล ทว่าหากเจ้าจะตบแต่งให้เขาย่อมหนีไม่พ้นต้องทำความรู้จักกับครอบครัวของเขา จวนก่วงผิงป๋อได้ชื่อว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง ทว่าภายในกลับฟอนเฟะหมดแล้ว นิสัยของคนจวนนั้นเกรงว่าเจี้ยนหลีของพ่อจะไม่พึงใจสักเท่าไร’
กู้เจี้ยนหลีมองไปทางจีเยวี่ยหมิง
จีเยวี่ยหมิงรู้สึกลนลานขึ้นมา เดิมทีทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนแต่ยกยอกู้เจี้ยนหลี ผู้ที่อยากจะตีสนิทกับนางยังแทบหาโอกาสไม่ได้ ยามนี้ตระกูลของนางเกิดเรื่อง ตัวนางเองยังตกต่ำถึงขั้นต้องแต่งเข้ามาเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ผู้อื่น ศักดิ์ศรีที่ถูกกดไว้เนิ่นนานของจีเยวี่ยหมิงคล้ายต้องการที่ระบาย นางจึงอดใจไม่ไหวถากถางไปหลายประโยค