ฮูหยินใหญ่เหลือบมองด้านในแวบหนึ่ง จากนั้นขมวดคิ้วเอ่ยปรามบุตรสาว “เยวี่ยหมิง เจ้าอย่าโวยวายเสียงดัง ระวังจะรบกวนท่านอาห้าของเจ้า”
จีเยวี่ยหมิงเดิมทีอยากต่อปากต่อคำ ทว่าพอมองตามสายตามารดาเข้าไปในห้องแล้วก็ได้แต่เก็บความคิดที่จะถากถางกู้เจี้ยนหลีกลับไปก่อน
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” จีเยวี่ยหมิงปล่อยมือกู้เจี้ยนหลีก่อนหมุนกายไปหยุดอยู่มุมหนึ่งแล้วนั่งลงบนเก้าอี้กุหลาบซึ่งวางเรียงเป็นแถว จากนั้นจ้องใบหน้ากู้เจี้ยนหลีอย่างสนอกสนใจและคาดหวังว่าจะเห็นสีหน้าขุ่นเคืองหรือน้อยเนื้อต่ำใจจากจันทรากลางนภาในกาลก่อนนางนี้ น่าเสียดายที่ไม่เป็นไปตามที่นางหวัง กู้เจี้ยนหลีมิได้แสดงสีหน้าใดคล้ายกับคำพูดถากถางของนางไม่เข้าหูอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
จีเยวี่ยหมิงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ยามที่กำลังจะเอ่ยวาจาอีกครั้ง ซ่งหมัวมัวก็พรวดพราดเดินออกมาหยุดอยู่ข้างกายกู้เจี้ยนหลี เขย่าเสื้อคลุมในอ้อมแขนเล็กน้อย จากนั้นก็คลุมให้กู้เจี้ยนหลีด้วยตนเอง
เหตุการณ์นี้ทำเอาสมาชิกสตรีรวมถึงสาวใช้หลายคนในโถงชั้นนอกถึงกับตกใจ ซ่งหมัวมัวผู้นี้เป็นบ่าวที่ติดตามรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่า แต่ไหนแต่ไรเคยปรนนิบัติผู้อื่นด้วยตนเองที่ใดกัน
กู้เจี้ยนหลีเดิมทีไม่รู้ว่าซ่งหมัวมัวไม่ปรนนิบัติใครง่ายๆ ทว่าสังเกตสีหน้าของคนอื่นในที่นี้ก็พอจะเดาได้คร่าวๆ เช่นกัน
คล้ายจะรับรู้ได้ถึงความประหลาดใจของคนในโถงชั้นนอกนี้ ซ่งหมัวมัวจึงไขข้อข้องใจด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “นายท่านห้าบอกว่าฮูหยินห้าสวมเสื้อผ้าตัวบาง ด้านนอกอากาศหนาว จึงให้บ่าวนำเสื้อคลุมมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
ในดวงตาที่แบ่งแยกส่วนดำขาวชัดเจนพลันฉายแววตกใจ คล้ายจะรู้สึกซาบซึ้ง ทว่าพอนึกถึงดวงตาคล้ายดวงตาจิ้งจอกกับรอยยิ้มพิลึกพิลั่นแฝงแววอันตรายของบุรุษผู้นั้น รวมถึงกลิ่นอายเย็นเยียบที่กำจายรอบตัวเขาแล้ว…กู้เจี้ยนหลีกลับจำได้เพียงความรู้สึกหวาดหวั่นราวกับอสรพิษเลื้อยตามแผ่นหลัง ความซาบซึ้งอื่นใดพลันอันตรธานไปหมดสิ้น
ส่วนผู้อื่นในโถงนี้ไม่ว่าจะนายบ่าวล้วนแต่พากันตื่นตระหนก
นี่…
นายท่านห้าเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นเมื่อไรกัน
จริงอยู่ที่จีอู๋จิ้งมีนิสัยแปลกประหลาด จู่ๆ นึกอยากหยอกเย้าผู้อื่นขึ้นมาก็มิใช่เป็นไปไม่ได้ นี่เขามิใช่ว่าเพิ่งฟื้นหรอกหรือ เวลาเพียงเท่านี้ก็ยอมรับภรรยาที่ถูกผู้อื่นยัดเยียดให้แล้ว?
ฮูหยินรองจับจ้องเสื้อคลุมบนร่างกู้เจี้ยนหลี ในใจรู้สึกไม่สงบขึ้นมา เจ้าห้าคงไม่ใช่รอดชีวิตจริงๆ หรอกนะ เช่นนั้นจะกำจัดตัวปัญหาใหญ่หลวงที่เป็นตัวถ่วงจวนก่วงผิงป๋ออย่างกู้เจี้ยนหลีไปภายในเก้าวันได้อย่างไรกัน
ส่วนฮูหยินใหญ่กับฮูหยินสามหันมาสบตากันคราหนึ่ง พบว่าต่างฝ่ายต่างปรากฏแววตาแบบเดียวกัน
ตอนนั้นเองพ่อบ้านก้าวมาค้อมคำนับที่ด้านนอกแล้วรายงานว่าหมอหลวงจากในวังมาถึงแล้ว ซ่งหมัวมัวจึงรีบไปเลิกม่านขึ้นและเชิญหมอเข้าไปด้านใน
กู้เจี้ยนหลีกระชับเสื้อคลุมบนไหล่ เนื้อผ้านุ่มลื่นสัมผัสฝ่ามือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ทำให้นางเริ่มเข้าใจสถานการณ์ของจวนก่วงผิงป๋อมากขึ้นแล้ว เดิมทีนางคิดว่าเพราะจีอู๋จิ้งป่วยหนักคนในจวนจึงเลือกเรือนเงียบสงบลับตาผู้นี้ให้เขาแบบส่งๆ กระทั่งบ่าวคอยปรนนิบัติยังไม่จัดหามาให้ ทว่าสังเกตจากผู้คนที่มารวมตัวกันที่นี่ตอนดึกๆ ดื่นๆ แล้ว นางจึงค่อยเข้าใจแจ่มแจ้ง ดูท่าเป็นเพราะจีอู๋จิ้งชอบอยู่เงียบๆ จึงเลือกเรือนนี้ไว้อยู่อาศัยด้วยตนเองจริงๆ
ทว่ากู้เจี้ยนหลียังเดาไม่ออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีอู๋จิ้งกับคนในจวนเป็นเช่นไร และเดาไม่ออกว่าคนเหล่านี้อยากให้เขากลับมาแข็งแรงหรืออยากให้เขาตาย ที่นางดูออกมีเพียงทุกคนที่นี่ไม่กล้าล่วงเกินเขา
ก็จริง เขาทั้งน่ากลัวทั้งอันตรายมากเพียงนั้น
ท่านป๋อผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าเดินออกมาด้านนอกแล้วโดยมีบุตรชายทั้งสามคนตามมา
ฮูหยินผู้เฒ่าลอบพินิจกู้เจี้ยนหลีครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “เจ้าห้าให้เจ้าเข้าไป”
จะให้เข้าไปด้วยเหตุใดกัน…กู้เจี้ยนหลีขมวดคิ้วอยู่ในใจ ภายนอกกลับย่อกายเล็กน้อยพลางรับคำก่อนเข้าไปในห้อง
จีอู๋จิ้งยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ราวกับรักษาท่วงท่ายามเพิ่งฟื้นไว้ไม่ขยับเขยื้อน ส่วนหมอหลวงคนนั้นกำลังโน้มกายลงเขียนเทียบยา
กู้เจี้ยนหลีเดินไปทางเตียงใหญ่ ตอนที่เดินผ่านหมอหลวงนางเหลือบเห็นผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดผืนนั้นวางอยู่บนโต๊ะ ดูท่าหมอหลวงจะใช้เลือดที่จีอู๋จิ้งไอออกมามาวิเคราะห์อาการของอีกฝ่าย
คราบเลือดบนผ้าเช็ดหน้ายามนี้เป็นสีแดงคล้ำปะปนกับสีดำในบางจุด ทว่ากู้เจี้ยนหลีจำได้ว่าตอนที่จีอู๋จิ้งไอออกมาเลือดที่อาบย้อมบนนั้นเป็นสีแดงสด…