บุตรสาวผู้นี้ทำให้นางกลัดกลุ้มใจนัก เพราะมักจะไม่เชื่อฟังคำพูดนางเสมอ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ช่างเถอะ มีนายท่านให้ความโปรดปรานอยู่ทั้งคน อีกฝ่ายทำเรื่องเกเรเหลวไหลในจวนเพียงใดผู้อื่นก็ไม่กล้าพูดอะไร แม้แต่ออกไปพบปะผู้คนข้างนอกก็มีแต่คนเอ่ยชมว่านางมีนิสัยร่าเริงตรงไปตรงมา ละม้ายคล้ายกับผู้เป็นบิดา ทว่ายามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเหยาซื่อกำลังจะมาแล้ว…
นางเคยพบทั้งฮูหยินผู้เฒ่าเจียงและเหยาซื่อ เวลานั้นพี่ชายนางตายเพราะช่วยเจียงเทียนโย่ว เจียงเทียนโย่วจึงพานางกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดระยะหนึ่ง เนื่องจากเป็นน้องสาวของผู้มีพระคุณ ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเหยาซื่อจึงดีต่อนางมาก โดยเฉพาะเหยาซื่อที่ปฏิบัติต่อนางราวกับเป็นน้องสาวแท้ๆ เลยทีเดียว
ต่อมาขณะที่นางตั้งท้องเจียงชิงอวี้ เจียงเทียนโย่วก็เคยพานางกลับกานโจว ด้วยอยากเรียนให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมอบฐานะภรรยาอีกคนให้แก่นาง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเลือกเวลาได้ไม่ดี บุตรชายของเหยาซื่อเกิดล้มป่วย ซ้ำยังตายไป ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอารมณ์ไม่ดียิ่ง ไม่ยอมให้นางได้เป็นภรรยาอีกคน หลังจากเจียงเทียนโย่วพานางกลับมาก็เพียงมอบฐานะอนุภรรยาศักดิ์สูงให้นาง
ยังดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับเหยาซื่ออาศัยอยู่ที่กานโจวมาตลอด ส่วนนางติดตามอยู่ข้างกายเจียงเทียนโย่ว ครั้นถึงเมืองหลวงก็เข้าอาศัยในจวนป๋อแห่งนี้ ทุกคนต่างมิได้พบหน้ากัน สองฝั่งอยู่ระดับเดียวกัน นางจึงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่สุดท้ายแล้วจะเป็น ‘ภรรยาอีกคน’ หรือเป็นเพียง ‘อนุภรรยาศักดิ์สูง’ แต่คิดไม่ถึงว่าพวกนางจะมาในตอนนี้
อันที่จริงสามคนนั้นมาก็ไม่มีอะไรไม่ดีเสียหน่อย ถึงอย่างไรใจนางก็ยังอยากเป็นนายหญิงอยู่เสมอ เมื่อก่อนเหยาซื่ออยู่ที่กานโจวตลอดเพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียงแทนนายท่าน นางจึงไร้หนทางจะทำให้เจียงเทียนโย่วปลดเหยาซื่อได้ ทว่าตอนนี้เหยาซื่อมาแล้ว นางก็สามารถคิดหาทางทำให้นายท่านเดียดฉันท์แล้วปลดเหยาซื่อได้เสียที
หากแต่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงดูเป็นคนร้ายกาจผู้หนึ่ง อีกทั้งดูเหมือนในใจยังมีอคติต่อนางมากอีกด้วย…
เมิ่งอี๋เหนียงทนได้และไม่มีทางปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงหาความผิดของนางได้แม้แต่นิดเดียว ทว่าเจียงชิงอวี้ต้องทนไม่ไหวแน่ ตัวนางต้องดูแลทั้งงานในจวนทั้งเจียงฉางหนิง ย่อมละเลยเจียงชิงอวี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ หากถึงเวลานั้นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจับผิดเจียงชิงอวี้ได้ ทำให้นางเสียเรื่องก็ไม่ดีแล้ว
เห็นทีควรต้องให้คนสุขุมๆ ไปติดตามอยู่ข้างกายเจียงชิงอวี้สักคนเพื่อคอยเตือนไม่ให้นางพูดหรือทำอะไรผิด รุ่ยเซียงเป็นคนที่ตนเชื่อใจได้ และก็มีนิสัยสุขุมหนักแน่นละเอียดถี่ถ้วน สามารถให้รุ่ยเซียงไปปรนนิบัติเจียงชิงอวี้ได้
เมิ่งอี๋เหนียงตัดสินใจแล้วก็เรียกฮุ่ยเซียง “เจ้าเข้าไปในห้องแล้วหยิบสมุดบันทึกสิ่งของกองกลางเล่มนั้นมาให้ข้าที”
ฮุ่ยเซียงเองก็เป็นหนึ่งในหัวหน้าสาวใช้ข้างกายนาง แม้จะทำงานได้ไม่มีไหวพริบเท่ารุ่ยเซียง แต่อบรมสั่งสอนดีๆ ก็ใช้งานได้เช่นกัน
ฮุ่ยเซียงรับคำ หันหลังเดินออกประตูเรือนไป ผ่านไปราวสองถ้วยชาก็นำสมุดบันทึกมายื่นส่งให้เมิ่งอี๋เหนียงอย่างเคารพนบนอบ
เมิ่งอี๋เหนียงรับมาเปิดดูสิ่งที่บันทึกอยู่ด้านใน คิดว่าต้องนำของอะไรมาไว้ในเรือนปี้อู๋นี้อีกบ้าง เพื่อที่นายท่านเห็นแล้วจะได้พูดว่านางอ่อนหวานสมเป็นกุลสตรี ทั้งยังทำงานเก่ง
เจียงชิงอวี้มาถึงเรือนส่วนหน้าแล้ว แต่เจียงเทียนโย่วยังกลับมาไม่ถึง
นางมองประตูเบื้องหน้า ด้านนอกมีบ่าวชายเฝ้าอยู่เพียงสองคน นอกนั้นก็ไม่เห็นเงาใครอีกแม้แต่คนเดียว
นางรู้สึกเบื่อหน่ายจึงหันหน้าไปพูดกับรุ่ยเซียงด้วยหน้าตาบูดบึ้งว่า “อี๋เหนียงให้เจ้าตามข้ามาเพื่ออะไร ข้าโตปานนี้แล้ว นางยังกลัวข้าจะพูดไม่เป็นอีกหรือ”
นางเพิ่งอายุครบสิบห้าเมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิ กล่าวถึงอายุก็สามารถมองหาสามีได้แล้ว แต่รุ่ยเซียงกลับรู้สึกว่าสมองของคุณหนูรองผู้นี้โตไม่ตามอายุเสียเลย