ลู่เยี่ยนยื่นมือมาดึงปลายคางของนางกลับมา บังคับให้นางมองตรงมาที่เขาและพูดด้วยแววตาร้อนแรงว่า “เสิ่นเจิน เจ้าคิดว่าเหตุใดข้าจึงพาเจ้ามาที่นี่”
เสิ่นเจินประสานกับแววตาบีบคั้นใจคนของเขา ในใจสับสนราวรัวกลอง
จริงสิ เหตุใดเขาไม่พานางไปที่ที่ว่าการนครหลวง แต่พามายังเรือนส่วนตัว
พอคิดถึงตรงนี้นางก็พบในทันใดว่าวันนี้เขาไม่ได้สวมใส่ชุดขุนนางสีม่วงเข้มตัวนั้น แต่เป็นเสื้อคลุมสีดำตัวหนึ่ง
นางเดาได้ทันทีว่าสายตาของเขาในตอนนี้กำลังบอกอะไรเป็นนัย
เสิ่นเจินสีหน้าซีดขาว มีคำตอบบางอย่างกำลังปรากฏในหัว แต่นางกลับไม่กล้าคิดลึกต่อไป ไม่กล้าแม้แต่น้อย
ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก ลู่เยี่ยนชายหนุ่มที่มีจุดประสงค์อยู่แล้วย่อมไม่สนใจอะไร แต่เสิ่นเจินไม่เหมือนกัน นับจากเดาจุดประสงค์ของเขาได้นางก็ดมกลิ่นจันทน์หอมบนตัวเขาไม่ไหวอีกต่อไป
ข้างหลังนางก็คือผนังห้อง ไม่มีทางให้ถอยหนี ในช่วงคับขันนางยกสองมือเล็กๆ ขึ้นมายันไปบนแผ่นอกของเขา เรียกด้วยเสียงเบาแทบจะไม่ได้ยิน “ใต้เท้า”
เสียงของนางเจ็บปวดสิ้นหวังและเต็มไปด้วยการขอร้อง
จากนั้นหยดน้ำตาของนาง…สุดท้ายก็ไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
พอนางน้ำตาไหล ลู่เยี่ยนก็ขมวดหัวคิ้ว
หยดลงหนึ่งหยด หัวใจของเขาก็เหมือนถูกคนทุบไปด้วย
หยดลงมาอีกหนึ่งหยด หัวใจของเขาก็ยิ่งเจ็บ
นับจากได้พบกับนาง เขาก็เป็นโรคประหลาดที่ทำให้รำคาญใจ แต่วันนี้ทำให้เขาพบกฎข้อหนึ่ง ดูเหมือนหากนางร้องไห้อย่างหนัก เช่นนั้นความเจ็บปวดของเขาก็จะรุนแรงขึ้นเล็กน้อย
ที่แท้นางก็ห้ามร้องไห้อย่างนั้นหรือ
เขาเงยหน้าขึ้นมองคานห้อง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและหัวเราะออกมา
ก็ได้ ลู่เยี่ยนถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เขาอดทนรอนางอยู่นาน เห็นนางไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดเสียงเย็นชาว่า “ถ้าเจ้ายังร้องไห้อีก พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปจับคนที่บ้านสกุลหลี่”
สกุลหลี่ที่พูดถึงคือบ้านของหลี่ตี้ พี่เขยของเสิ่นเจิน
เป็นจริงดังคาด คำพูดนี้ออกมา เสียงสะอื้นไห้ก็หยุดลงทันที
เสิ่นเจินบังคับตนเองให้สงบนิ่ง ห้ามทำให้เขารำคาญใจเด็ดขาด เก็บเสียงสะอื้นในคอกลับไป
ลำคอรู้สึกขมปร่า
ผ่านไปครู่หนึ่งลู่เยี่ยนเห็นไหล่ของนางไม่สั่นแล้วจึงเปิดหีบสองใบ ในหีบใส่เงินเอาไว้เต็ม
“เหล่านี้เป็นเงินแปดพันก้วน” ลู่เยี่ยนพูด
แปดพันก้วน เท่ากับหนี้ที่สกุลเสิ่นติดค้างไว้พอดี
เสิ่นเจินเงยหน้าขึ้น “ใต้เท้าลู่ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร”
ลู่เยี่ยนหยิบเทียนมาวางไว้บนโต๊ะเพื่อมองสำรวจนางได้อย่างชัดเจน
“ข้างนอกมีการห้ามออกนอกเคหสถานยามวิกาล คืนนี้เจ้ากับข้าล้วนออกไปไม่ได้แล้ว มีเวลามากมาย ข้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าค่อยๆ คิดก็ได้”
เขาไม่ชอบให้ใครมาแสร้งโง่ทั้งที่เข้าใจต่อหน้าเขา เขาให้เงินนางก้อนใหญ่อย่างนั้นไม่ได้ให้เพื่อให้นางมาแกล้งโง่
เสิ่นเจินกัดริมฝีปากซ้ำไปมา
ทันใดนั้นนางก็พบว่าสถานการณ์ของตนเองในตอนนี้กับการอยู่ในศาลไม่ต่างอะไรกันมากนัก
หากนางพูดผิด เขาอาจจะไม่ให้โอกาสนางเป็นครั้งที่สอง
เขาไม่เหมือนเถิงอ๋องและหลงจู๊ร้านแลกเงินสกุลจิน เขาไม่เพียงมีเงินและอำนาจในมือ เขายังมีชนักของนางอีกด้วย ก็เหมือนกับที่เขาพูดไปเมื่อครู่ เอกสารออกนอกเมืองนั้นใครเป็นคนเขียนเขารู้กระจ่าง จะตรวจสอบหรือไม่ล้วนอยู่ในความคิดของเขา
ไม่มีทางเลือกอื่นเลย