ชาติก่อนเรียนแพทย์แผนจีน ย่อมชื่นชอบพืชสมุนไพรมาก กลิ่นหอมของสมุนไพรที่อบอวลไปทั้งสวนทำให้หลวนอวิ๋นชูดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ถ้าสวนสมุนไพรแห่งนี้สามารถส่งเสริมนางให้นำสิ่งที่ศึกษาเรียนรู้เมื่อชาติก่อนมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ นางย่อมยินดีเป็นที่สุด
คิดจะเป็นเจ้านายที่แท้จริงของสวนสมุนไพรแห่งนี้ก่อนอื่นนางต้องพิชิตลุงใบ้ให้ได้ก่อน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนของใคร นางจะต้องเอาตัวเขามาใช้สอยให้ได้ อย่างน้อยต้องทำได้ถึงขั้นให้นางสามารถเข้าออกสวนแห่งนี้ เก็บพืชสมุนไพรของที่นี่ได้ตลอดเวลาจึงจะได้ นางก้าวช้าๆ ไปข้างหน้า สังเกตต้นไม้อย่างละเอียดแล้วเอ่ยขึ้น
“พืชนี้มีชื่อว่าดอกอูลาสีน้ำเงิน* เป็นต้นไม้ของทางเหนือเช่นกัน ออกดอกในช่วงเดือนหกเดือนเจ็ด ดอกสีน้ำเงินอมม่วง มองดูแล้วคล้ายหมวกเหล็กของนักรบ ดังนั้นจึงเรียกดอกอูลาสีน้ำเงิน รากของมันรักษาโรคได้ แยกออกเป็นรากแก้วกับรากแขนง…รากแก้วเรียกว่าอูโถว รักษาโรคไขข้ออักเสบได้ ส่วนรากแขนงก็คือฟู่จื่อที่พวกเราเรียกกันอยู่บ่อยๆ มีสรรพคุณเสริมพลังหยาง ขับไล่ความเย็น แก้โรคปวดไขข้อ”
พูดแล้วหลวนอวิ๋นชูก็หยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเสริมขึ้น
“อูโถวนี้มีพิษร้ายแรง เวลาใช้ต้องระมัดระวัง ไม่อาจเอามาใช้ทั้งดิบๆ”
ลุงใบ้ผงกศีรษะอย่างชื่นชม เหนือความคาดหมาย เขาถึงกับทำมือทำไม้ สายตาที่มองหลวนอวิ๋นชูก็เต็มไปด้วยความเลื่อมใส
“ลุงใบ้บอกว่าสะใภ้สี่เป็นสตรีผู้หนึ่งถึงกับมีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ เขาเลื่อมใสอย่างมาก” ซิ่วเอ๋อร์ช่วยอธิบาย “พืชชนิดนี้นอกจากชื่อแล้ว ที่ท่านพูดมาถูกต้องเกือบทั้งหมด”
ชื่อต่างกันเป็นไปได้อย่างมากว่าสมัยโบราณกับสมัยใหม่เรียกไม่เหมือนกัน ความจริงแล้วอูโถวนอกจากไล่ลมขจัดความชื้นในร่างกายแล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยให้เลือดลมอบอุ่น ขจัดความหนาวเย็น บรรเทาอาการปวด หลวนอวิ๋นชูเจตนาบอกประโยชน์การใช้สอยน้อยลงไปหลายอย่าง ด้วยเกรงว่าวิชาทางการแพทย์ในสมัยโบราณยังล้าหลัง สรรพคุณบางอย่างอาจยังไม่มีใครรู้ พูดมากไปกลับจะถูกสงสัย เห็นลุงใบ้เห็นด้วยกับสิ่งที่นางพูด หลวนอวิ๋นชูก็เบาใจ พยักหน้าแล้วบอก
“พืชชนิดเดียวกัน แต่ถ้าอยู่ต่างถิ่นกันเรียกชื่อไม่เหมือนกันก็มี ไม่ทราบลุงใบ้เรียกว่าอะไรหรือ”
ความจริงหลวนอวิ๋นชูไม่รู้ว่าอูโถวนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแคว้นหลี ชื่อว่าซีตู๋เฉ่า ถูกมองว่าเป็นสิ่งมีพิษอย่างหนึ่ง ประโยชน์ใช้สอยที่เห็นบ่อยที่สุดก็คือเอามาทาที่หัวลูกศร ยิงสังหารศัตรู ตอนนั้นคนยังไม่รู้ว่าเอามาทำยาได้…ดีที่หลวนอวิ๋นชูเพียงบอกประโยชน์ใช้สอยออกมาอย่างสองอย่าง และพูดถึงดอก ราก รวมถึงคุณสมบัติของมันออกมาได้ไม่ผิดพลาด ตอนท้ายยังบอกพืชชนิดนี้มีพิษ ลุงใบ้จึงยอมรับ
ที่สำคัญลุงใบ้ไม่อยากให้คนรู้ว่านี่เป็นยาพิษ ย่อมพูดจาคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง
ลุงใบ้รักและชื่นชอบสมุนไพรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พูดได้ว่าถึงขั้นหลงใหลบ้าคลั่ง เพาะปลูกสมุนไพรตามลำพังอยู่ที่นี่หลายปี เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวจนชินแล้ว ในแคว้นหลวนที่การแพทย์ถูกมองว่าเป็นอาชีพต่ำต้อยทั้งเก้า ได้มาเจอคนที่มีความชื่นชอบและเข้าใจสมุนไพรเช่นนี้ เขาก็ทั้งเลื่อมใสและตื่นเต้นดีใจ ย่อมอยากพูดคุยศึกษาพิจารณา จากตอนแรกที่มองข้าม เบื่อหน่ายเอือมระอา ก็เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นขึ้นมา เห็นหลวนอวิ๋นชูถามก็ทำมือทำไม้ แต่ซิ่วเอ๋อร์กลับสั่นศีรษะบอก
“ชื่อที่ลุงใบ้บอก บ่าวก็เดาไม่ออกเจ้าค่ะ”
ออกจะน่าผิดหวังอยู่บ้าง ลุงใบ้มองหลวนอวิ๋นชูอย่างเสียใจแวบหนึ่ง
หลวนอวิ๋นชูยิ้มน้อยๆ เดินไปยังพุ่มไม้เตี้ยที่อยู่ข้างหน้า ลุงใบ้ถึงกับติดตามพวกนางมาตลอด พูดคุยศึกษาพิจารณากับนางถึงลักษณะพิเศษจำเพาะ แหล่งกำเนิด ประโยชน์ใช้สอยต่างๆ ของพืชแต่ละชนิด มีซิ่วเอ๋อร์คอยถอดความให้ ถึงกับสนทนากันได้อย่างถูกคอ
มาอยู่ต่างถิ่นต่างที่ จู่ๆ ได้มาเจอคนที่รู้เรื่องสมุนไพรดีเช่นนี้ หลวนอวิ๋นชูเองก็ตื่นเต้นมาก พูดคุยกับลุงใบ้อย่างออกรสออกชาติ ฝูหรงเองก็ฟังอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน ทั้งสองคนถึงกับไม่ได้สังเกตว่ายิ่งพูดมาถึงตอนท้าย สีหน้าของซิ่วเอ๋อร์ก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวขึ้นทุกที