เถิงอวี้อี้เงยหน้าขึ้นก็มองเห็นที่นั่งฝั่งบุรุษตรงข้ามกันได้แล้ว ประเดี๋ยวหนึ่งลิ่นเฉิงโย่วกับองค์รัชทายาทก็เดินคุยหยอกล้อกันเข้ามา เนื่องจากฮ่องเต้กับฮองเฮาไม่ได้ประทับอยู่ด้วย บรรยากาศในงานเลี้ยงจึงผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่ไม่น้อย
นายหญิงตราตั้งหลายคนซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งแขกคนสำคัญกำลังคุยเล่นกับอาจารย์ใหญ่หลิว อาจารย์ใหญ่หลิวคุยไปก็เหลียวมองลูกศิษย์ไป ก่อนลดเสียงลงเอ่ยว่า “คุณหนูเจิ้ง คุณหนูเติ้ง คุณหนูรองอู่ คุณหนูตู้ ล้วนเป็นเด็กที่มีภูมิความรู้ไม่เลวเลย…”
นางยังกล่าวไม่จบประโยค อยู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจดังขึ้น ที่แท้มีคนโดนสุราหกรดชายกระโปรงอย่างไม่ทันตั้งตัว
เป็นคุณหนูรองเผิงนั่นเอง เถิงอวี้อี้มองตามทิศทางที่คุณหนูรองเผิงเพิ่งจดจ้องไปถึงพบว่าฉุนอันจวิ้นอ๋องมาถึงแล้ว
คุณหนูใหญ่เผิงหวั่นเกรงว่าจะเสียมารยาท จึงกล่าวตำหนิน้องสาวเบาๆ ด้วยความตกใจ “เหตุใดเจ้าถึงไม่ระวังตัวเช่นนี้”
คุณหนูรองเผิงมองจอกสุราในมือตนเองอย่างงุนงง “ข้าก็ไม่รู้…”
คุณหนูใหญ่เผิงกลัวว่าจะมีคนมองออกว่าน้องสาวคิดอะไรอยู่ จึงรีบกระซิบสั่งว่า “ฉวยโอกาสที่งานชุมนุมกวียังไม่เริ่ม รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย”
คุณหนูรองเผิงพาสาวใช้เดินออกไปจากงานด้วยความอับอาย
ทางฝั่งนายหญิงตราตั้งหลายคนไล่ถามชื่อศิษย์ไปทีละคน ไม่นานก็ถามมาถึงตู้ถิงหลัน “ข้าจำเด็กผู้นี้ได้ นางคือบุตรสาวของตู้อวี้จือ”
อาจารย์ใหญ่หลิวมองตู้ถิงหลันอย่างชื่นชม “เด็กผู้นี้นิสัยสุภาพอ่อนโยน ความเรียงก็เขียนได้ไม่เลว”
บรรดาฮูหยินดูเหมือนจะเริ่มสนใจขึ้นมา “ปีนี้คุณหนูตู้อายุเท่าไรแล้ว”
ทว่าในตอนนี้เองสาวใช้ข้างกายคุณหนูรองเผิงเดินชนกับคนผู้หนึ่งเข้า คนผู้นั้นสวมหมวกผ้าชุดคลุมยาว ท่าทางคล้ายจะมาร่วมงานเลี้ยง
คนที่นั่งอยู่ทางฝั่งบุรุษยิ้มพลางเอ่ยว่า “บัณฑิตหลูมาถึงแล้ว”
เด็กสาวทั้งหลายพอได้ยินว่าเป็นจ้วงหยวน ของปีนี้ต่างก็อดเหลียวมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ในบรรดาเด็กสาวเหล่านี้มีเพียงเจิ้งซวงอิ๋นกับตู้ถิงหลันที่สีหน้าเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง
“ได้ยินว่าเวลานี้ในฉางอันมีเด็กสาวจำนวนไม่น้อยมีใจให้บัณฑิตหลู พวกท่านดูสิ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเขาเขียนความเรียงได้ดีเยี่ยม เพียงรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ก็โดดเด่นพอแล้ว”
“บัณฑิตหลู เมื่อสักครู่เจ้าออกจากงานเลี้ยงไปนานเพียงนั้น คงไม่ได้มีเด็กสาวคนใดขวางเจ้าไว้เพื่อมอบกระดาษคัดบทกวีให้อีกกระมัง”
หลูจ้าวอันไม่เอ่ยตอบ ได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้า ขณะกำลังง่วนอยู่กับการประสานมือคารวะตอบ ไม่ระวังจึงถูกสาวใช้ของคุณหนูรองเผิงชนเข้าจนของสิ่งหนึ่งร่วงหล่นจากแขนเสื้อ ของสิ่งนั้นเผยโฉมให้เห็นชัดเจนใต้แสงเทียนสว่างเรืองรอง เป็นกระดาษคัดบทกวีม้วนหนึ่ง
คุณหนูรองเผิงนิ่งอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นท่าทีตอบสนองของนาง สหายร่วมเรียนหลายคนก็ก้มมองกระดาษคัดบทกวีบนพื้นอย่างสงสัย
มีคนเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “นั่นไม่ใช่กระดาษเขียนหนังสือที่สำนักศึกษาของพวกเราแจกจ่ายให้ใช้เหมือนๆ กันหรือ”
นับตั้งแต่เข้าเรียนวันแรกเป็นต้นมาอาจารย์ใหญ่หลิวก็ไม่อนุญาตให้บรรดาศิษย์ใช้กระดาษเขียวเหลือบทองหรือกระดาษดอกท้อที่นำมาจากจวนอีก แต่อนุญาตให้ใช้กระดาษกับหมึกของสำนักศึกษาเท่านั้น
ในที่นั่งฝั่งบุรุษมีพวกชอบก้าวก่ายเรื่องชาวบ้านชะเง้อคอยาวมองไปข้างหน้า “เอ๋? ลายมือบรรจงงดงามนัก ลงชื่อว่าตู้…”
ทุกคนต่างตะลึงงัน เพราะชื่อลงท้ายด้านล่างของกระดาษเขียนเอาไว้ชัดเจนว่า ‘ตู้ถิงหลัน’ สามคำนี้
องค์รัชทายาทเห็นดังนั้นก็เหลือบมองไปทางคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเฉยชา
สหายร่วมเรียนในสำนักศึกษามึนงงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทยอยส่งสายตาประหลาดใจไปหาตู้ถิงหลัน
หลูจ้าวอันรีบร้อนจะเก็บกระดาษคัดบทกวีเข้าในอกเสื้อ กลับมีคนชิงนำหน้าไปก้าวหนึ่ง เก็บกระดาษม้วนนั้นบนพื้นขึ้นก่อน
“บนโลกมีเรื่องบังเอิญปานนี้ได้อย่างไรกัน เมื่อวานซืนมีคนร้องทุกข์ว่าทำของหาย คืนนี้หัวขโมยก็เอามาคืนถึงที่ด้วยตนเองเสียแล้ว”
หลูจ้าวอันพลันเงยหน้า รอยยิ้มแข็งค้างไปโดยไม่รู้ตัว
ลิ่นเฉิงโย่วส่งยิ้มให้เขา “บัณฑิตหลู มาทักทายท่านอาจารย์ตาของข้าสักหน่อยแล้วกัน”
เพิ่งจะสิ้นเสียงของเขาก็มีขันทีประกาศก้อง “ฝ่าบาท ฮองเฮาเสด็จแล้ว” และยังประกาศต่อ “ท่านนักพรตชิงซวีจื่อมาถึงแล้ว”
ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นฮ่องเต้ที่ทรงประคองนักพรตชิงซวีจื่อเข้ามาด้วยพระองค์เองพอดี
* ศิษย์นอกสำนัก ในที่นี้หมายถึงศิษย์ของนักพรตที่พักอาศัยในบ้านตนเอง ไม่ได้โกนหัวบวชและอาศัยอยู่ในอาราม
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.