เขากล่าววาจาฉะฉานทรงพลัง ผู้คนซึ่งเคยมองเขาด้วยสายตาโกรธแค้นเหล่านั้นหลังฟังคำอธิบายยาวเหยียดเหล่านี้ก็อดลังเลขึ้นมาไม่ได้ หลูจ้าวอันพรสวรรค์เชิงอักษรเลิศล้ำเกินใครในฉางอัน อีกทั้งปีนี้ยังสอบจิ้นซื่อได้เป็นอันดับหนึ่ง หากไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คนผู้นี้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะแสดงความสามารถโดดเด่นในการสอบจื้อจวี่ของราชสำนักถัดจากนี้แน่
หากว่ามีคนริษยาหลูจ้าวอัน หรืออาจจะมีคนที่ไม่อยากให้ราชสำนักเลือกคนเก่งเช่นเขา เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าจะมีคนเจตนาใส่ร้ายเขา และสาวใช้สกุลเผิงคนที่ชนหลูจ้าวอันนั้นก็น่าสงสัยอย่างเห็นได้ชัด
คุณหนูรองเผิงสัมผัสได้ถึงสายตาพุ่งตรงมาจากทุกทิศทุกทาง นางโกรธจัดใบหน้าแดงก่ำ ยกมือขึ้นชี้ไปที่หลูจ้าวอันอย่างเดือดดาล “เจ้าพูดเหลวไหล! กระดาษคัดบทกวีพวกนี้ร่วงมาจากแขนเสื้อแท้ๆ อย่าคิดจะใส่ร้ายคนอื่น”
หลูจ้าวอันน้ำเสียงก้องกังวาน “ข้าผู้แซ่หลูไม่กล้าพูดพร่ำเพ้อเจ้อ แต่ก่อนจะเข้ามาในงานเลี้ยงในตัวข้าไม่ได้มีกระดาษคัดบทกวีสองแผ่นเพิ่มขึ้นมาเลย”
เลือดลมทั่วร่างคุณหนูรองเผิงแล่นริ้วขึ้นมาถึงในอก ทว่าเพราะอายุยังน้อยเกินไป ยามอยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ฮองเฮาและต่อหน้าเหล่าขุนนางกลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
คุณหนูใหญ่เผิงนั่งอยู่ในที่ของตนเอง รู้สึกทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยว พอเห็นว่าชั่วพริบตาเดียวน้องสาวก็ถูกหลูจ้าวอันปั่นหัวจนตกหลุมพราง ขณะกำลังจะลุกขึ้นแก้ต่างให้น้องสาวกลับมีคนชิงลุกขึ้นมาจากที่นั่งก่อนนาง “ฮองเฮาทรงพิจารณาด้วยเพคะ เมื่อครู่คุณหนูรองเผิงตอนแรกยังนั่งอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงลุกออกจากงานเลี้ยงกะทันหัน คิดว่าจะต้องมีนัยบางอย่างแน่”
นางก็คือนางข้าหลวงไป๋ หนึ่งในสี่นางข้าหลวงของสำนักศึกษา
คุณหนูใหญ่เผิงจึงรีบร้อนคุกเข่าถวายบังคมฮองเฮาตาม “ทูลฮองเฮา น้องสาวหม่อมฉันอยู่ๆ ก็ถูกคนชนจนน้ำหกรดมุมกระโปรงเปียกชุ่ม จึงต้องลุกออกจากงานไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนเกิดเรื่องไม่รู้เลยว่าจะต้องพบเจอผู้ใด ถูกใครชนเข้ายิ่งเป็นสิ่งที่คาดคิดไม่ถึง เห็นได้ชัดว่ามีคนกำลังใช้เล่ห์เหลี่ยมโยนความผิดให้ หากหม่อมฉันจำไม่ผิด เพราะมีคนมาชนแขนน้องสาว นางถึงได้ทำสุราหกเพคะ”
สาวใช้ผู้นั้นทรุดฮวบลงกับพื้นดั่งโคลนเหลวไปนานแล้ว ก่อนจะเอ่ยปากทั้งที่ตัวสั่นงันงกว่า “ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจนะเจ้าคะ…” จู่ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันขวับมองไปยังที่นั่งในงานเลี้ยง “ข้าน้อยนึกออกแล้ว เพราะ…เพราะมีคุณหนูผู้หนึ่งไม่ทันระวังมาชนครั้งหนึ่ง ข้าน้อยไม่ได้ยืนทรงตัวให้ดีถึงได้พลาดท่าชนแขนคุณหนูรองเผิงเจ้าค่ะ”
สาวใช้เอ่ยประโยคนี้พลางกวาดสายตามองหาสะเปะสะปะไร้จุดหมาย จนมองไปเห็นคนผู้หนึ่ง สายตาพลันชะงักค้าง
“เป็นนาง” สาวใช้กลืนน้ำลายอย่างตื่นตะลึง “ข้าน้อยนึกออกแล้ว เป็นคุณหนูรองอู่มาชนข้าน้อยเจ้าค่ะ”
อู่ฉี่มีสีหน้าตกใจยิ่งกว่าสาวใช้ผู้นี้เสียอีก นางเผยอปากเอ่ยถามอย่างอึ้งๆ “ข้าน่ะหรือ”
สาวใช้พยักหน้ารับอย่างประหม่า “ข้าน้อยไม่ได้จำผิด เป็นท่าน คุณหนูรองอู่”
สายตาสหายร่วมเรียนทั้งหลายมองตรงไปอย่างพร้อมเพรียง
สาวใช้เนื้อตัวสั่นเทา “ตอนนั้นท่านกำลังโยนก้อนกระดาษเล่นกับคนอื่น แต่อยู่ๆ กลับมาชนข้าน้อยอย่างแรงเลยเจ้าค่ะ”
สหายร่วมเรียนเริ่มแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างเงียบๆ
เรื่องนี้ทุกคนล้วนจำได้ หลังจากเดินเข้ามานั่งในงานเลี้ยง เนื่องจากฮ่องเต้กับฮองเฮายังไม่ปรากฏพระองค์เสียที ท่านอาจารย์ใหญ่ก็เอาแต่สนใจพูดคุยกับนายหญิงตราตั้งหลายคนตรงที่นั่งด้านบน พวกนางหลายคนนิสัยร่าเริงสดใส ก็อดใจไม่อยู่แอบเล่นกันเงียบๆ ขึ้นมา อู่ฉี่เล่นอย่างสนุกสนานเป็นที่สุด ประจวบเหมาะว่านั่งอยู่ข้างคุณหนูรองเผิงนี่เอง
อู่ฉี่มึนงงไปชั่วขณะ นางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “นี่…นี่มันปรักปรำกันแท้ๆ ก่อนหน้านี้ข้ากับคุณหนูเติ้งเอาก้อนกระดาษมาเล่นสนุกกันอยู่ก็จริง ข้ากลับจำไม่ได้เลยว่าเคยชนเจ้าด้วย”
เติ้งเหวยหลี่เบื้อใบ้ไปครู่หนึ่ง อยากจะแก้ต่างให้ตนเอง แต่นี่ก็เป็นเรื่องจริง ทว่านางยิ่งครุ่นคิดยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แววตาที่พินิจมองอู่ฉี่อีกครั้งจึงซับซ้อนขึ้นไม่น้อย
สาวใช้ผู้นั้นร้อนใจจนขอบตาแดงก่ำ นางเงยหน้ามองคุณหนูรองเผิงพลางเอ่ยว่า “คุณหนู คนอื่นไม่เชื่อ แต่ท่านต้องเชื่อข้าน้อยนะเจ้าคะ ข้าน้อยถูกคุณหนูรองอู่ชนเข้าถึงได้เสียหลักมาชนแขนท่าน”
อู่ฉี่เบิกตากว้างทันใด “มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ ข้า…เหตุใดข้าถึงจำไม่ได้เลยสักนิดเล่า ที่สำคัญระหว่างข้ากับคุณหนูรองเผิงมีสาวใช้ผู้นี้ยืนคั่นกลางอยู่ ต่อให้เผลอไปชนเข้า คุณหนูรองเผิงจะพลาดทำสุราหกได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นเจ้าลองทบทวนดูให้ดีอีกสักหน่อยหรือไม่”
ความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนี้คือเรื่องที่สกุลเผิงทำอย่าได้โยนใส่ศีรษะนาง
ทุกคนยิ่งฟังยิ่งเลอะเลือนกันไปใหญ่