ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 36
นักชันสูตรตรวจศพดูแล้วพบว่าบนร่างกายชิงจือมีรอยปานอยู่หลายแห่ง ระหว่างพี่น้องหากอยากจะยืนยันฐานะไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย หลังจากจดจำกันได้แล้วชิงจือก็ไปเอาปิ่นระย้ากลับมา ส่วนเจ้าก็ซื้ออิงเถาอบแห้งที่ตนเองไม่เคยนึกชอบกินมาก่อนให้ชิงจือ ข้าคาดเดาว่าทองคำที่ชิงจือใช้ไถ่ปิ่นระย้าก็เป็นทองที่เจ้าให้มา เพราะปิ่นระย้าอันนั้นเป็นเครื่องประดับที่คุณชายใหญ่เว่ยบุตรชายหนิงอันป๋อสั่งทำให้เจ้าโดยเฉพาะ ในเมืองฉางอันมีปิ่นลักษณะเช่นนี้เพียงหนึ่งเดียว เมื่อใดตกทอดไปอยู่ในท้องตลาดก็จะรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเจ้าของเดิมเป็นใคร คุณชายใหญ่เว่ยกับเจ้าความสัมพันธ์กำลังร้อนแรง ต่อให้เจ้าไม่คิดเอาความ แต่คุณชายใหญ่เว่ยจะต้องสืบให้ละเอียดเป็นแน่ ถึงตอนนั้นสาวมาจนถึงตัวชิงจือ นางคงหนีไม่พ้นต้องโดนลงโทษสถานหนัก
เพื่อปกป้องชิงจือเอาไว้ เจ้าเป็นฝ่ายเสนอทองคำให้นางไปไถ่ของกลับมา ส่วนนางก็ยอมเชื่อฟังคำพูดของพี่สาวอย่างเจ้า นับจากนั้นมาจึงไม่เคยขโมยของอีกเลย”
เหยาหวงถอนใจเฮือกแล้วกล่าวเสียงนุ่มนวล “ข้าน้อยไม่รู้เลยว่าซื่อจื่อจะแต่งเรื่องได้ยอดเยี่ยมปานนี้ ประเดี๋ยวบอกว่าข้าน้อยกับชิงจือเป็นพี่น้องกัน ประเดี๋ยวก็บอกว่าข้าน้อยมอบสินทรัพย์ส่วนตัวไปไถ่ปิ่นระย้ากลับมา แต่ความจริงแล้วข้าน้อยกับชิงจือไม่เคยไปมาหาสู่กันเลย ทุกคนในหอไฉ่เฟิ่งล้วนเป็นพยานได้”
ลิ่นเฉิงโย่วได้ยินดังนั้นกลับยิ้มออกมา “ใช่ เรื่องที่เจ้ากับชิงจือจดจำกันได้ยังไม่มีใครรู้ เพราะพวกเจ้าไปมาหาสู่กันอย่างลับๆ มาตลอด หอไฉ่เฟิ่งนับวันกิจการยิ่งรุ่งเรือง ดูเหมือนมีคุณสมบัติสูงพอจะกลายเป็นหอคณิกาที่ใหญ่ที่สุดในฉางอัน เถ้าแก่ของพวกเจ้าตัดสินใจจะเลือกยอดบุปผาหนึ่งคนจากบรรดาดาวเด่นเพื่อดึงดูดแขกผู้มาเยือนให้เพิ่มมากขึ้น วันคัดเลือกยิ่งใกล้เข้ามาทุกขณะ แม่นางเก๋อจินกลับโดดเด่นเกินหน้าเกินตาเจ้าจนเจ้าเฝ้าครุ่นคิดหาทางเอาชนะอยู่ตลอดเวลา แต่จนปัญญาที่คิดแผนการดีๆ ไม่ออก หลังยอมรับน้องสาวอย่างชิงจือผู้นี้แล้ว อยู่ๆ เจ้าก็เกิดความคิดบางอย่าง สั่งให้นางปลอมตัวเป็นวิญญาณอาฆาตทำร้ายคน ส่วนเจ้าป่าวประกาศว่าจะออกไปเที่ยวเล่นทางทิศใต้ของเมืองหลวงกับคุณชายใหญ่เว่ย เพื่อไม่ใครสงสัยมาถึงชิงจือยังบอกให้นางเปลี่ยนเสียงเป็นสตรีวัยกลางคนด้วย
ดังนั้นแม้ข้าจะมองออกแต่แรกว่าใบหน้าแม่นางเก๋อจินเป็นฝีมือคนทำร้าย สุดท้ายกลับไม่เคยสงสัยไปถึงชิงจือเลย เพราะแม่นางเก๋อจินคงไม่มีทางแยกแยะเสียงของสาวใช้ตนเองไม่ออกไปได้หรอก อีกทั้งคำให้การของแม่นางเก๋อจินก็ทำให้คนในหอไฉ่เฟิ่งปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือวิญญาณอาฆาตจริงๆ”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย “เช่นนี้ก็อธิบายได้กระจ่างแล้วว่าเพราะเหตุใดชิงจือถึงยอมร่วมมือกับผู้อื่นทำร้ายนายหญิงดาวเด่นของตนเอง ที่แท้นั่นไม่ใช่คนนอกเลย แต่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของนางเอง ขอเพียงทำให้แม่นางเก๋อจินเสียโฉมได้แล้วโยนความผิดไปให้แม่นางเว่ยจื่อ พี่สาวก็จะได้เป็นยอดบุปผาไปโดยปริยาย อีกไม่กี่ปีก็สามารถไถ่ตัวพวกนางสองพี่น้องเป็นอิสระ ชิงจือยอมเสี่ยงอันตรายครั้งนี้แน่นอน”
“เรื่องนี้ทำได้แนบเนียนดั่งภูษาฟ้าไร้ตะเข็บ ไม่มีใครสงสัยมาถึงพวกเจ้าสองพี่น้อง” ลิ่นเฉิงโย่วหันกายกลับมา “หลังจดจำกันได้เจ้ามักให้เงินชิงจือบ่อยๆ ชิงจือจึงมีเงินใช้ฟุ่มเฟือยเพราะเหตุนี้ ไม่นานสองปีศาจออกอาละวาดทำให้หอไฉ่เฟิ่งโดนสั่งปิด เจ้ากลัวว่าหากเรื่องราวยังยืดเยื้อจะไม่เป็นผลดี จึงให้ชิงจือเอาอัญมณีแห่งโม่เหอที่ขโมยมาไปโยนทิ้งไว้ใต้เตียงของแม่นางเก๋อจิน รอจนนางมาพบเห็นของสิ่งนี้จะต้องสงสัยแม่นางเว่ยจื่อแน่”
เหยาหวงยิ้มเจื่อนๆ อย่างจนใจ “ซื่อจื่อพูดมาจนถึงตอนนี้ กลับยังไม่มีหลักฐานยืนยันสักชิ้นเดียว พูดไปพูดมามีเพียงแค่ชิงจือเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้าน้อย แต่ในสัญญาขายตัวเขียนไว้ชัดเจน แม้ข้าน้อยจะเป็นชาวเยวี่ยโจวก็จริง น้องสาวกลับตายจากไปตั้งแต่เจ็ดแปดปีก่อนแล้ว อยู่ดีๆ มายัดเยียดน้องสาวให้ข้าน้อยผู้หนึ่ง โปรดอภัยที่ข้าน้อยไม่กล้ารับไว้”
ลิ่นเฉิงโย่วมองนางด้วยหางตา “เจ้าพูดมาไม่ผิด พอชิงจือตายไปเรื่องนี้ก็ไร้ซึ่งหลักฐานยืนยัน รวมกับพ่อค้าทาสเมื่อเจ็ดปีก่อนตามตัวได้ยาก เจ้าจึงไม่มีอะไรต้องกลัว วันนั้นซักถามทุกคนในหอเสร็จข้ากับเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนรู้ว่าชิงจือลักลอบซ่อนเครื่องประดับเอาไว้ใต้กองอิงเถาอบแห้ง จึงไปถามไถ่ร้านเครื่องประดับละแวกใกล้เคียง ที่ผ่านมาชิงจือไม่เคยไปซื้อของอะไรเลย แต่ในวันที่เจ็ดเดือนก่อนหรือก็คือช่วงที่จดจำได้ว่าเจ้าเป็นพี่สาวไม่นาน จู่ๆ นางไปสั่งทำกำไลแขนทองคำคู่หนึ่งกับร้านเครื่องประดับในย่านนี้ สิบวันถัดมานางก็ไปรับกำไลแขนทองคำคู่นี้กลับมาแล้วซ่อนเอาไว้ใต้กองอิงเถาอบแห้งรวมกับเครื่องประดับหลายอย่างที่เจ้าเคยให้ หลังจากนั้นนางมักจะหยิบออกมาดูเล่นเป็นประจำ จนเป้าจูบังเอิญมาเห็นเข้า น่าเสียดายหลังชิงจือประสบเคราะห์ร้ายกำไลแขนทองคำคู่นี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว”
ตอนแรกเหยาหวงยังมีสีหน้าตึงเครียด แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายแล้วตรงหว่างคิ้วก็ผ่อนคลายลงทันที
เก๋อจินกับเว่ยจื่อเฝ้ามองจนไฟโทสะในใจลุกโชน ก่อนที่คนหนึ่งจะกล่าวด้วยความโกรธแค้นว่า “ซื่อจื่อ หลายวันมานี้ไม่ว่าใครล้วนโดนกักตัวอยู่ในหอ เหยาหวงก็ไม่มีข้อยกเว้น หากนางเป็นคนหยิบไปจริง กำไลแขนจะต้องอยู่ในหอแน่ ขอเพียงตามหาของสิ่งนี้เจอ ไม่ต้องกลัวว่านางจะไม่ยอมรับผิด”
ลิ่นเฉิงโย่วส่ายหน้าอย่างหดหู่ใจ “บอกว่าถูกสั่งปิด แต่ความจริงบ่าวในห้องครัวออกไปซื้อของทุกวัน แค่เอาของโยนลงในเข่งเงียบๆ จะเอาออกไปจากหอก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแล้ว ข้าคิดว่ากำไลแขนคงตกอยู่ในมือพ่อค้าริมทางสักคนแล้ว อีกอย่างจากบันทึกที่ร้านเครื่องประดับเก็บไว้ กำไลแขนทองคำคู่นั้นไม่ได้แกะสลักด้วยวิธีพิเศษ ในฉางอันผู้คนมากมายเหลือจะนับ อยากตามหากำไลแขนทองคำหน้าตาธรรมดาๆ สักคู่ใช่เรื่องง่ายดายเสียที่ใด”
ห้านักพรตส่งเสียงโหวกเหวกขึ้นมาทันที “ได้ยินมาว่ากำไลแขนไม่เหมือนเครื่องประดับชนิดอื่น คับไปก็ไม่พอเหมาะพอดี หลวมเกินไปสักหน่อยก็ลื่นหลุดจากแขน ดังนั้นร้านเครื่องประดับจะมีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่ง ตอนสั่งทำกำไลแขนจะต้องบอกความหนาของวงแขนมาพร้อมกันด้วย ในเมื่อชิงจือสั่งทำกำไลแขน ก็ต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ข้าเห็นดาวเด่นหลายคนในหอรูปร่างแตกต่างกันออกไป บางคนอวบอิ่ม บางคนผอมบาง คิดว่าขนาดแขนคงไม่เท่ากัน ตกลงชิงจือสั่งทำให้ผู้ใด ตรวจสอบดูก็รู้แล้วกระมัง”
เอ้อจีกับว่อจีหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ท่านนักพรตล้อเล่นแล้ว กำไลแขนถึงแม้ต้องวัดขนาดให้ดี แต่สามารถปรับเลื่อนขึ้นลงได้ ที่สำคัญความอ้วนผอมของแม่นางทั้งหลายไม่แน่นอน ต่อให้จะพอดีกับขนาดแขนของใคร ก็ไม่อาจชี้ชัดได้หรอกว่าทำให้คนผู้นั้น”
เหยาหวงใช้ผ้าเช็ดหน้ากดตรงมุมปากเบาๆ สีหน้ายิ่งสงบนิ่งไม่สะทกสะท้าน
เถิงอวี้อี้ชมดูสีหน้าของเหยาหวง นั่งพักเงียบสงบมาพักหนึ่งแขนขาสี่ข้างของนางก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง โชคดีที่ฝึกเพลงกระบี่ไปแล้วรอบหนึ่ง พลังประหลาดยังไม่ถึงขั้นพลุ่งพล่านไปทั่ว แต่น่าแปลกว่าตั้งแต่เกิดเรื่องจนบัดนี้เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อยังไม่โผล่หน้ามาเลย หรือว่าทำความสะอาดข้างใต้ห้องพระนั้นอยู่ เวลาลิ่นเฉิงโย่วลงโทษศิษย์น้องขึ้นมาไม่เคยออมมือเลยจริงๆ
เปลวไฟสายหนึ่งไร้ซึ่งหนทางระบายออก จะให้วิ่งออกไปฝึกกระบี่ประเดี๋ยวนี้ก็ไม่เหมาะสม ในเมื่อเหยาหวงผู้นี้กล่าววาจาฉะฉานคมกริบ ไยไม่ลองใช้นางมาระบายโทสะดูเล่า
เถิงอวี้อี้ยิ้มจนตาหยีแล้วเอ่ยปาก “ต้าเหนียงทั้งสองพูดได้ไม่เลว กำไลแขนทองคำมีกันเกือบทุกคน หากรูปแบบเรียบง่ายธรรมดา ทำหายไปแล้วอาศัยเพียงรูปลักษณ์ภายนอกคงมองไม่ออก แต่เมื่อก่อนชิงจือมักขโมยเครื่องประดับผู้อื่นอยู่บ่อยๆ พอถึงเวลาตนเองสั่งทำเครื่องประดับบ้างข้าคิดว่านางต้องหาทางป้องกันเรื่องนี้ไว้แน่”
เหยาหวงตะลึงงัน เบนสายตาไปทางเถิงอวี้อี้ ไม่รู้ว่าคิดถึงสิ่งใดขึ้นมาได้จึงพลันตกใจจนหน้าถอดสี
เถิงอวี้อี้จ้องหน้าเหยาหวง มุมปากยกโค้งขึ้นมาอย่างนึกสนุก “หากข้าเป็นนาง จะต้องฝากรอยตราพิเศษเอาไว้ด้านในกำไลแขน เช่นนี้แล้วต่อให้ของถูกใครขโมยหรือพลาดพลั้งทำหล่นหาย ก็สามารถตามหากลับมาได้ในเวลาไม่นาน ซื่อจื่อ ท่านตรวจสอบไปถึงร้านเครื่องประดับแล้ว คิดว่าคงรู้อยู่ก่อนว่ารอยตราที่ชิงจือฝากเอาไว้คืออะไรกระมัง”
เมื่อเถิงอวี้อี้เอ่ยประโยคนี้ออกมา ลิ่นเฉิงโย่วก็คลี่ยิ้มบางๆ
นางแค่นเสียงหึอยู่ในใจ เขารู้อยู่แต่แรกจริงดังคาด กลับรีรอไม่ยอมปริปากเพียงเพราะว่ายังเล่นปาหี่แมวจับหนูไม่สาแก่ใจ
ด้านลิ่นเฉิงโย่วเองก็ไม่แปลกใจสักนิดที่เถิงอวี้อี้สามารถคาดเดาได้ “ด้านในกำไลแขนข้างหนึ่งสลักไว้ว่า ‘เนี่ยอาฝู’ ส่วนด้านในกำไลแขนอีกข้างสลักไว้ว่า ‘เนี่ยอาฉวี’ แม่นางเหยาหวง เมื่อครู่เจ้าบอกว่ากระไรนะ ‘ในสัญญาขายตัวเขียนไว้ชัดเจน’ ใครชื่อเนี่ยอาฝู เจ้าคงไม่หลงลืมแม้กระทั่งชื่อเดิมของตนเองใช่หรือไม่”
ภายในห้องโถงประหนึ่งมีใครโยนก้อนหินยักษ์ร่วงหล่นโครมลงมา ชั่วอึดใจเดียวคลื่นความตกใจถาโถมโหมซัดสาด ทุกคนอุทานเสียงต่ำด้วยความประหลาดใจ สายตามากมายนับไม่ถ้วนพุ่งตรงทิ่มแทงเหยาหวง
เอ้อจีกับว่อจีเอ่ยถามอย่างเหลือเชื่อ “เหยาหวง? เป็นเจ้าจริงรึ”
เหยาหวงขบกัดริมฝีปากล่างแน่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ราวกับผ้าสีเทาซอมซ่อ
ลิ่นเฉิงโย่วยกมือไพล่หลังเดินไปเดินมา “เจ้าคิดคำนวณไว้ทุกเรื่องแล้ว มีเพียงเรื่องเดียวที่คิดไม่ถึงคือชิงจือจะไปสั่งทำกำไลแขนคู่นี้ลับหลังเจ้า หลังเกิดเรื่องแม้ว่าเจ้าจะค้นหาของสิ่งนี้จนเจอในห้องของนาง แต่เพราะว่ารีบร้อนเก็บกวาดหลักฐานยืนยันความผิดจึงไม่ทันตรวจดูอักษรที่แกะสลักเอาไว้ในกำไลแขนให้ละเอียด
ข้าคิดว่าสาเหตุที่ชิงจือสั่งทำกำไลแขนคู่นี้ก็เพื่อระลึกถึงการพบกันอีกครั้งของพวกเจ้าพี่น้อง นางเป็นคนที่ไม่มีวันลืมฐานะเดิม ฟังจากเรื่องที่นางยืนกรานว่าตนเองเป็นชาวเยวี่ยโจวในครั้งนั้นก็มองออกแล้ว นางตั้งตารอให้เจ้าไถ่ตัวพวกเจ้าทั้งสองคนออกไปได้ ดังนั้นจึงยอมทำตามที่เจ้าบอกทุกอย่าง เจ้าให้นางทำร้ายแม่นางเก๋อจินจนเสียโฉม นางก็ทำ เจ้าให้นางโยนความผิดให้แม่นางเว่ยจื่อ นางก็ทำ เจ้ารู้สึกว่านางหมดประโยชน์แล้ว จึงนัดแนะนางไปพูดคุยข้างบ่อน้ำในเรือนชั้นใน นางไม่สงสัยอะไรแม้แต่น้อย ถึงจะถูกเจ้าผลักตกลงไปในบ่อน้ำก็ไม่กล้าตะโกนขอความช่วยเหลือ ด้วยเหตุนี้เองทั้งที่ตอนเกิดเรื่องพวกเราอยู่ในห้องพระห่างออกไปไม่ไกลกลับไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวสักนิด”
“ไม่ใช่!” เหยาหวงเงยหน้าขึ้นทันควัน “ข้าไม่ได้ทำร้ายอาฉวีนะ ข้ากับนางพลัดพรากจากกันมาเจ็ดปี กว่าจะจดจำกันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วข้าจะหักใจทำร้ายนางได้อย่างไร”
พวกเจี้ยนเทียนส่งเสียงโวยวาย “เยี่ยมเลย ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับว่านางเป็นน้องสาวเจ้าแล้ว!”
“หญิงสาวงามบอบบางดั่งบุปผา น้ำมือกลับโหดเหี้ยมปานนี้ ทำร้ายแม่นางสองคนยังไม่พอ แม้แต่น้องสาวแท้ๆ ของตนเองก็ยังลงมือได้”
เหยาหวงนั่งลงกับพื้นอย่างเซื่องซึม น้ำตาไหลทะลักออกมาในพริบตา “ไม่…ไม่…ไม่นะ ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ทำร้ายอาฉวี!” นางเงยหน้าขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน คลานเข่าไปทางปลายเท้าลิ่นเฉิงโย่ว “ซื่อจื่อเจ้าคะ เรื่องมาถึงตอนนี้ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดให้ปิดบังแล้ว ท่านพูดมาถูกต้องทุกอย่าง เรื่องพวกนั้นเป็นฝีมือข้าน้อยเอง วิธีการก็เป็นเหมือนที่ท่านว่ามานั่นล่ะ เริ่มจากทำร้ายเก๋อจินเสียโฉม ค่อยฉวยโอกาสโยนความผิดให้เว่ยจื่อ ข้าน้อยอยากหนีออกไปจากกรงขังแห่งนี้มานานแล้ว หลังจดจำอาฉวีได้ก็ยิ่งครุ่นคิดอยากไถ่ตัวพวกเราสองคนอยู่ทุกคืนวัน ฐานะยอดบุปผาแตกต่างจากหญิงสาวดาวเด่นทั่วไป เงินทองที่เก็บออมได้จากการตกรางวัลในปีหนึ่งมีมากมายนับไม่ถ้วน อยากจะหนีไปให้พ้นจากทะเลทุกข์แห่งนี้ นี่เป็นวิธีการที่รวดเร็วที่สุดแล้ว บรรดาหญิงสาวดาวเด่นในผิงคังฟางไม่มีใครไม่อยากเป็นยอดบุปผา แต่หากพลาดโอกาสครั้งนี้ไปครั้งหน้าก็คืออีกสามปีหลังจากนี้ ถึงตอนนั้นข้าก็อายุยี่สิบต้นๆ รอจนถึงวันนั้นความสดใสแรกแย้มร่วงโรย ยิ่งไม่มีความหวังว่าจะเอาชนะผู้ใดได้แล้ว”
ลิ่นเฉิงโย่วร้องอ้อเสียงยืดยาวก่อนเอ่ย “ที่แท้นี่เป็นความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของใครคนหนึ่ง อาศัยการทำร้ายผู้อื่นเพื่อทำสิ่งที่ต้องการให้เป็นจริงก็ได้หรือ ตอนเจ้าวางแผนทำร้ายแม่นางเก๋อจินจนเสียโฉมเคยคิดหรือไม่ว่าเท่ากับทำลายทั้งชีวิตของนาง ตอนโยนความผิดให้แม่นางเว่ยจื่อเคยคิดหรือไม่ว่านางก็มีชาติกำเนิดน่าเห็นใจไม่ต่างจากเจ้าเลย น้ำมือเจ้าโหดเหี้ยมปานนี้กลับพร่ำบอกไม่หยุดว่าตนเองมีความลำบากใจอยู่ เจ้าไม่รู้สึกว่ามันน่าขำหรอกหรือ”
เก๋อจินยกมือปิดปากร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างคับแค้นใจ รอยแผลเป็นบนพวงแก้มเปียกชื้นด้วยหยาดน้ำตายิ่งเป็นสีแดงเข้มน่ากลัว