เดิมทีคนทั้งสองก็อยู่ใกล้กัน ครั้นคนงามหัวเราะอย่างสบายใจ ดวงหน้างามก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา ฉินอี๋ทำตามความคิดของตนโน้มกายไปสำรวจริมฝีปากสีแดงสดคู่นั้น ฉู่จิ่นเหยานึกว่าจุมพิตนี้จะหยุดเพียงผิวเผินเหมือนก่อนหน้านี้ แต่คิดไม่ถึงว่าคราวนี้ฉินอี๋ไม่คิดจะปล่อยไปง่ายๆ จุมพิตค่อยๆ เริ่มลึกซึ้ง ฉู่จิ่นเหยาเปรียบดั่งเรือน้อยกลางคลื่นสมุทร สูญเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง ไหลไปตามคลื่น เอวค่อยๆ เอนไปด้านหลัง สุดท้ายก็จมลงกลางผ้าห่มแพรสีแดง
ฉู่จิ่นเหยารู้สึกได้ถึงมือของฉินอี๋ที่สอดเข้ามาในสาบเสื้อนาง นางตกใจได้สติในทันใด “รัชทายาท ไม่ได้เพคะ!”
การถูกร้องห้ามในเวลาเช่นนี้มิใช่เรื่องน่ายินดี ดวงตาทั้งสองของฉินอี๋มองนางด้วยประกายดำมืด ฉู่จิ่นเหยาแก้มแดงก่ำ พูดเสียงแผ่วเบา
“รัชทายาททรงลืมแล้วหรือ ระดูหม่อมฉันมาแล้ว!”
ในฐานะที่เป็นสามีภรรยาคู่ใหม่ซึ่งมีชีวิตคู่กลมเกลียวกันอย่างยิ่ง ฉินอี๋ย่อมรู้ว่าระดูของฉู่จิ่นเหยามาวันใด มาทั้งหมดกี่วัน
รัชทายาทผู้มีความจำดีเลิศขมวดคิ้ว “ไยถึงเป็นวันนี้”
“หม่อมฉันก็ไม่รู้ รอบนี้มาก่อนกำหนด”
ฉินอี๋ถอนหายใจหนักๆ เขาถูกกระตุ้นเต็มที่แล้ว แต่กลับทำไม่ได้ ฉู่จิ่นเหยาทั้งกระอักกระอ่วนทั้งขบขัน
“เรื่องนี้โทษหม่อมฉันไม่ได้ รัชทายาท…”
ฉู่จิ่นเหยาเอื้อมไปเขย่าแขนเสื้อของฉินอี๋ ฉินอี๋จนปัญญากับสตรีที่ตีก็ไม่ได้ด่าทอก็ไม่ได้คนนี้ของตนเอง ทำได้เพียงหักห้ามใจ ดึงผ้ามาห่มให้ฉู่จิ่นเหยาพร้อมกับจับแขนทั้งสองของนางสอดเข้าไปในผ้าห่ม
“ข้าจะจำไว้ คราวหน้าจะมาทวงคืน”
ฉู่จิ่นเหยาถูกจับยัดกลับเข้าไปในผ้าห่ม แทบจะโผล่มาเพียงดวงตาทั้งสอง “เช่นนั้นพระองค์ไม่กริ้วแล้วใช่หรือไม่ วันนี้หม่อมฉันมิได้เจตนาจะหลอกลวง…แต่หม่อมฉันไร้หนทาง ไม่กล้าพูดตรงๆ กับพระองค์”
ฉินอี๋กลับยิ้มอย่างผิดไปจากปกติ มิได้ตอบรับวาจาของฉู่จิ่นเหยาเหมือนเช่นที่แล้วมา เพียงพูดว่า “นี่เป็นคนละเรื่องกัน เจ้าใช้อุบายอวดฉลาดกับข้านั้นไม่เป็นไร แต่มีบางขอบเขตที่ไม่อาจก้าวข้ามได้ ครั้งนี้กล้าแสร้งล้มป่วยมาทำให้ข้าตกใจ ครั้งหน้าเล่า เจ้าคิดจะทำอะไรอีก”
“หม่อมฉัน…”
“หืม?”
“ก็ได้ หม่อมฉันผิดไปแล้ว”
“สำนึกผิดก็ดี เรื่องวันนี้มีหลิงหลงเกี่ยวข้องด้วยกระมัง ลงโทษหักเบี้ยหวัดนางสามเดือนตามกฎของวัง เห็นแก่ที่นางยังต้องปรนนิบัติข้างกายเจ้า ให้ยั้งโทษโบยไว้ก่อน หากวันหน้ากล้าทำผิดอีกให้รับโทษรวมด้วยกัน”
หลิงหลงเฝ้าอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด พอได้ยินชื่อของตนเองแว่วๆ นางก็เข้าประตูมาคุกเข่ารับโทษอยู่ไกลๆ ทันที หลังฉู่จิ่นเหยาได้ยินก็มีสีหน้าร้อนใจยิ่ง นางอยากออกจากผ้าห่ม แต่กลับถูกฉินอี๋ใช้มือข้างหนึ่งกดให้นอนลงไป
“รัชทายาท หม่อมฉันเป็นคนทำ พระองค์ทรงลงโทษนางเพื่ออันใด”
ฉินอี๋มีท่าทางเยือกเย็นเป็นธรรมชาติ มองฉู่จิ่นเหยาอย่างเย้าแหย่ “เจ้าล้มป่วยมิใช่หรือไร เจ้านายต้องความเย็นจนไม่สบาย บ่าวรับใช้ไม่ควรถูกลงโทษหรือ”
“มิใช่เช่นนั้น…”
ฉู่จิ่นเหยายังพูดไม่ทันจบ หลิงหลงก็โขกศีรษะเอ่ยปากรับการลงโทษทันที “รัชทายาททรงสั่งสอนได้ถูกต้อง บ่าวขอรับโทษเพคะ”
ฉู่จิ่นเหยายังอยากจะพูดอีก แต่หลิงหลงกลับส่ายหน้าให้ฉู่จิ่นเหยาเงียบๆ พลางขยับปากบอกฉู่จิ่นเหยาอย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นก็ถอยออกไปแล้วปิดประตู
หลังหลิงหลงไปแล้ว ฉินอี๋ก็มองฉู่จิ่นเหยาด้วยสายตาเรียบเฉย แม้จะไม่ได้พูดสักคำ แต่ฉู่จิ่นเหยาเข้าใจความหมายของเขาแล้ว
เรื่องอย่างการแสร้งล้มป่วยครั้งนี้ให้เป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย ห้ามมีครั้งต่อไปอีก ฉินอี๋ตัดใจลงโทษฉู่จิ่นเหยาไม่ลง แต่บ่าวไพร่ข้างล่างกลับหนีไม่รอดแม้แต่คนเดียว
ฉู่จิ่นเหยานอนอยู่ในผ้าห่มพลางมองฉินอี๋ รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าชาตินี้ตนเองคงหนีไม่พ้นเงื้อมมือเขา ฉินอี๋สอดมุมผ้าห่มให้ฉู่จิ่นเหยาอีกเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น
“หยุดคิดฟุ้งซ่านได้แล้ว นอนไปดีๆ”
ฉู่จิ่นเหยาเผลอตอบรับ จากนั้นก็ฉุกคิดได้ว่าเมื่อครู่ฉินอี๋กระตุ้นไฟในกายกับนาง เขาให้นางนอนหลับ เช่นนั้นเขาจะไปที่ใด
ฉู่จิ่นเหยายังไม่ทันรู้ตัว ร่างกายของนางก็ขยับแล้ว มือของนางคว้าเข้าที่แขนของฉินอี๋ การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วปราดเปรียวจนชวนให้คนทึ่ง
“พระองค์จะไปที่ใด”
“ข้าไม่ได้ออกไปที่ใด” ฉินอี๋จับมือของฉู่จิ่นเหยาออกแล้วสอดกลับเข้าไปในผ้าห่มด้วยท่าทางจนใจ “เจ้าหลับอย่างวางใจเถิด ข้าจะอยู่เฝ้าเจ้าตรงนี้”
ฉู่จิ่นเหยามองกิริยาท่าทางของฉินอี๋ พบว่าเขาไม่มีท่าทีจะออกไปจริงๆ ถึงได้เอนกายลงนอนในผ้าห่มแพรอย่างวางใจ
“รัชทายาท พระองค์…บรรทมเร็วหน่อยเถิด”
ฉู่จิ่นเหยากระแอมกระไออย่างเก้อเขินคราหนึ่ง ละคำพูดบางส่วนไว้ ฉินอี๋มองนางอย่างไม่สบอารมณ์ ฉู่จิ่นเหยาก่อเรื่องวุ่นวายมาทั้งคืนจนเหน็ดเหนื่อยแล้ว การแสร้งล้มป่วยมิใช่งานเบาๆ ฝีมือการแสดงของนางไม่ดีจนถูกเปิดโปงคาหนังคาเขา หลังจากนั้นยังคุยกับฉินอี๋อีกเป็นนาน พอเงียบลงนางก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ฉินอี๋มองดูฉู่จิ่นเหยาค่อยๆ เงียบไปจนสุดท้ายเข้าสู่นิทรา