ฉู่จิ่นเหยามุ่งมั่นกับการมอง หลิงหลงทำได้เพียงกระซิบบอกข้างหูฉู่จิ่นเหยาเบาๆ “พระชายา น้ำเดือนสี่เย็นยะเยือก เกี้ยวกำลังมาแล้ว ทรงอดทนอีกสักครู่นะเพคะ”
“ข้าทนไหว” ฉู่จิ่นเหยายังพูดไม่ทันจบดี จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนคุกเข่ากล่าวถวายบังคมเป็นการใหญ่ ฉู่จิ่นเหยากระชับเสื้อคลุมหันหน้ากลับไปก็เห็นฉินอี๋ก้าวยาวๆ มาทางนี้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เหล่าสตรีริมฝั่งตกตะลึงเล็กน้อย รีบคุกเข่าลง “ถวายบังคมรัชทายาท”
ฉินอี๋ไม่แม้แต่จะสนใจ เดินตรงมาหาฉู่จิ่นเหยา ฉู่จิ่นเหยาไม่มีเวลาให้สนใจว่าตนเองแต่งกายไม่เรียบร้อย นางทำท่าจะคารวะ แต่กลับถูกฉินอี๋รั้งไว้
“ตกน้ำได้อย่างไร” ฉินอี๋จับมือฉู่จิ่นเหยา ถูกความเย็นบนนิ้วมือนางทำเอาตกใจ สายตาของเขาเปลี่ยนไปทันควัน ตวัดมองบ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างช้าๆ อย่างเยียบเย็น ฉินอี๋ไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว แต่บนหน้าผากบรรดาคนที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านหลังกลับมีเหงื่อผุดขึ้นมา พวกหลิงหลงกับเจี๋ยเกิ่งยิ่งไม่กล้าแก้ตัว ก้มหน้าคุกเข่าลง ฉู่จิ่นเหยาจับมือฉินอี๋ไว้ ออกแรงน้อยๆ เตือนให้เขาตระหนักถึงสถานที่ในขณะนี้
“รัชทายาท หม่อมฉันไม่เป็นไร วันนี้โทษพวกนางไม่ได้ พวกเรากลับกันก่อนเถิดเพคะ”
สายตาของฉินอี๋ยังคงคมปลาบ ฉู่จิ่นเหยาออกแรงดึงมือเขาอีกเล็กน้อย ในดวงตาฉายแวววิงวอน ฉินอี๋ถึงค่อยสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ได้ เพียงปรายตามองบ่าวไพร่บนพื้นก่อนเอ่ยขึ้น
“กลับไปค่อยว่ากัน”
เวลานี้เสี่ยวหลินจื่อวิ่งมาพอดี ค้อมกายรายงานว่า “รัชทายาท พระชายา เกี้ยวมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอี๋พยักหน้าเบาๆ อุ้มฉู่จิ่นเหยาขึ้นมาโดยไม่รอให้นางมีอาการตอบสนอง ฉู่จิ่นเหยาถูกทำเอาตกใจ จับอกเสื้อฉินอี๋ไว้โดยพลัน หลังได้สติกลับมานางก็ทั้งร้อนใจและเขินอาย
“รัชทายาท วางหม่อมฉันลงเร็วเข้าเพคะ ที่นี่มีฮูหยินอยู่มากมาย! อยู่ต่อหน้าผู้คน พระองค์…พระองค์ทำเช่นนี้วันหน้าจะให้หม่อมฉันสร้างบารมีและพบหน้าผู้คนได้อย่างไร”
“ไยถึงเริ่มสั่นแล้วเล่า” ฉินอี๋ขมวดคิ้ว ส่งสายตาให้เสี่ยวหลินจื่อ “เอาเสื้อคลุมมาอีกตัว”
เสี่ยวหลินจื่อรีบสั่งให้คนหยิบเสื้อคลุมของรัชทายาทมา ฉินอี๋ใช้เสื้อคลุมห่อร่างฉู่จิ่นเหยาขณะที่ยังอยู่ในท่าทางเดิม สอดมุมผ้าไว้แน่นหนา ฉู่จิ่นเหยาถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง หากมิใช่นางกับเขาอยู่ใกล้กันอย่างยิ่ง ฉู่จิ่นเหยาก็แทบจะสงสัยแล้วว่าฉินอี๋ไม่ได้ยินที่นางพูดโดยสิ้นเชิง นางต้องการเป็นชายารัชทายาทที่สง่างามเรียบร้อยสมกับเป็นกุลสตรี คราวนี้เละเทะไม่เป็นท่าแล้ว
ฉู่จิ่นเหยาจึงถูกอุ้มไปขึ้นเกี้ยวอย่างยอมแพ้เช่นนี้ ยังดีที่พอขึ้นเกี้ยวก็มิดชิดขึ้นมาก ยามนี้นางยังถูกห่อร่างอยู่ในเสื้อคลุมของฉินอี๋ นางไม่อยากถูกมองไปตลอดทางจริงๆ
พอเกี้ยวเพิ่งหยุดลง ฉู่จิ่นเหยาจะต่อต้านก็ไม่เป็นผล นางถูกฉินอี๋อุ้มกลับเข้าตำหนักบูรพาอีกครั้ง ตำหนักฉือชิ่งได้รับข่าวอยู่ก่อนแล้ว น้ำร้อนต้มไว้เรียบร้อย หากมิใช่เพราะฉู่จิ่นเหยายืนกรานคัดค้าน ฉินอี๋คงอุ้มนางไปวางลงในถังอาบน้ำโดยตรง
แช่น้ำเย็นมาพักใหญ่ ระหว่างทางก็ถูกลมหนาวพัดอีกนานปานนั้น ฉู่จิ่นเหยาหนาวจนสั่นเทาไปทั้งร่างแล้ว จวบจนได้ลงแช่ในน้ำที่สะอาดและอุ่นร้อน นางถึงได้รู้สึกว่าตนเองฟื้นคืนชีพอีกครั้ง นางแช่อย่างสบายอยู่ครู่หนึ่งก่อน สระผมจนสะอาด จากนั้นถึงได้คลุมร่างด้วยชุดตัวกลางเดินออกมา
นอกห้องอาบน้ำ พวกกงหมัวมัวเตรียมยาขับความเย็นไว้แล้ว ฉินอี๋กำลังรออยู่ข้างนอก พอเห็นฉู่จิ่นเหยาออกมาก็กวักมือบอกให้นางมาดื่ม
ยาขับความเย็นเพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆ กลิ่นฉุนจมูก ฉู่จิ่นเหยาดื่มจนหมดอย่างฝืนทนกับรสชาติประหลาดนั้น ฉินอี๋มองดูนางดื่ม เห็นนางทั้งขมวดคิ้วพลางอมพุทราเชื่อมก็ปวดใจอย่างยิ่ง