บทที่ 169
ยามที่คนเราตื่นเต้นหวาดกลัว รูม่านตาจะขยายกว้าง หัวใจเต้นถี่แรง เหงื่อกาฬแตกพลั่กๆ จวบจนเวลานี้แม่นางเฉียวถึงประจักษ์อย่างแท้จริงว่านางไม่แตกต่างอันใดกับผู้อื่น สิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามเก็บงำอาการเหล่านี้ไม่ให้ใครจับได้อย่างสุดกำลัง
ลูกธนูซึ่งเล็งมาที่นางดอกนั้นคล้ายฝ่ามือใหญ่ล่องหนข้างหนึ่งบีบคอนางไว้ ทำให้นางอยากวิ่งหนีไปทันทีใจจะขาด
แต่ท้ายที่สุดเฉียวเจายังคงยืนเหยียดแผ่นหลังตรง ซุกซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ส่วนลึกในใจ
แม้ว่าวันนี้การเข้าไปใกล้ชิดน้องจื่อโม่จะเริ่มต้นได้ไม่เลว แต่ถ้าค่อยเป็นค่อยไปตามขั้นตอนต้องใช้เวลานานเกินไป นางทนรอไม่ไหวแล้ว เมื่อมีโอกาสอย่างนี้ลอยมา นางจะต้องพยายามคว้าไว้ให้ได้อย่างเต็มที่ เพื่อจะพบกับพี่ชายให้ได้เร็วที่สุด
ถึงไม่อาจเผยตัวว่าเป็นน้องสาว เพียงได้ยินเสียงของพี่ชายก็ยังดี
ลูกธนูดอกนั้นลอยพุ่งมาแล้ว เฉียวเจาหลับตาลงกะทันหัน ในหัวสมองว่างเปล่า
น้ำหนักบนศีรษะหายวับไป เมื่อเสียงหวีดร้องของเหล่าเด็กสาวหยุดลง รอบด้านก็เงียบกริบ
แพขนตาของเฉียวเจากระพือถี่ๆ ก่อนนางจะลืมตาขึ้น
ลูกท้อหล่นลงกลิ้งไปตามพื้น ส่วนลูกธนูนอนสงบนิ่งตกอยู่บนพื้น เด็กสาวหลายคนยกมือปิดตาไว้ บางคนที่ใจกล้าก็มองดูเงียบๆ
ชั่วเสี้ยวขณะนั้นความรู้สึกของการรอดชีวิตจากเภทภัยผุดขึ้นกลางอก
เฉียวเจานึกในใจ ท่าทีตอบสนองตามสัญชาตญาณทางกายยากจะอาศัยสติควบคุมไว้ได้จริงๆ
เจ้าคนบัดซบเซ่าหมิงยวน!
นางสบถชื่อของเซ่าหมิงยวนในใจ ราวกับว่าได้สบถออกมาอย่างนี้แล้วสาแก่ใจขึ้นบ้าง แต่ไม่รู้ว่าสมควรด่าเขาว่าอะไรดีกันแน่
“คุณหนูหลีซาน ข้ายิงดอกที่สองแล้วนะ” เจียงซือหร่านร้องบอกด้วยรอยยิ้มหวาน “จะยิงลูกท้อบนไหล่ซ้ายของท่านก่อน ท่านอย่าขยับตัวยุกยิก ลูกท้อจะได้ไม่หล่น”
เฉียวเจาตั้งสติ ริมฝีปากซีดขาวยกโค้งขึ้นเล็กน้อย “ได้”
นางไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะเกรงว่าจะเผยความขลาดกลัวออกมาต่อหน้าคนอื่น แต่สุดท้ายมีคนที่ช่างสังเกตและจับตาดูนางเป็นพิเศษมองออกแล้ว
โอวหยางเวยอวี่กระซิบพูดกับโค่วจื่อโม่ “พี่จื่อโม่ ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าจริงๆ แล้วคุณหนูหลีซานก็กลัวมากเหมือนกัน”
โค่วจื่อโม่ดึงสายตากลับมาตอบเสียงเบา “นั่นสิ มิใช่แค่ใช้ฝีปากและคารมเสียหน่อย เปลี่ยนเป็นใครไปยืนอยู่ตรงนั้นแทนคุณหนูหลีซานจะไม่กลัวได้หรือ หากคุณหนูเจียงยิงพลาด ถึงจะเป็นลูกธนูหัวทู่ก็บาดเจ็บได้เช่นกัน ถ้าเกิดเฉียดโดนใบหน้าล่ะก็ยิ่งย่ำแย่ไปกันใหญ่”
นางพูดถึงตรงนี้แล้วมองเด็กสาวหน้าตาซีดขาวที่ยืนอยู่กลางลานด้วยท่าทางเคร่งขรึม จู่ๆ ก็นึกเป็นห่วงอีกฝ่ายขึ้นมา
โอวหยางเวยอวี่กัดริมฝีปาก พูดเสียงอุบอิบ “ข้าไม่ค่อยเข้าใจเสียแล้ว อันที่จริงถึงคุณหนูหลีซานปฏิเสธคุณหนูเจียงก็ไม่เป็นไร ตอนต่อคำโคลงคู่ก่อนหน้า นางทำให้คนอื่นเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางแล้ว ไม่มีใครเรียกร้องว่านางต้องสมบูรณ์ไร้ที่ตินะ”
เมื่อครู่นี้ที่ใต้ต้นไห่ถัง ยามคุณหนูหลีซานเตือนสตินางก็เป็นคนสุขุมฉลาดเฉลียวมากแท้ๆ ไฉนเวลานี้กลับใช้อารมณ์เหนือเหตุผลอยู่บ้างเล่า
โอวหยางเวยอวี่รู้สึกได้รางๆ ว่าการกระทำของเฉียวเจาดูขัดกันอยู่สักหน่อย แต่คิดไม่ออกว่าเป็นเพราะอะไร ขณะที่สำหรับโค่วจื่อโม่แล้ว เฉียวเจาเป็นเด็กสาวแปลกหน้าที่เพิ่งได้พูดจาวิสาสะกันเล็กน้อยในวันนี้เท่านั้น จึงมิได้คิดอะไรมากนักเป็นธรรมดา นางกล่าวเสียงค่อยๆ “คงเพราะเด็กมักชอบเอาชนะคะคานกระมัง ถึงอย่างไรคุณหนูหลีซานก็อายุยังน้อย”
ระหว่างที่เด็กสาวทั้งหลายบ้างกลั้นใจจับตามอง บ้างลอบวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ เจียงซือหร่านก็ปล่อยสายธนูยิงลูกธนูดอกที่สองออกไปแล้ว
หนนี้เฉียวเจามิได้หลับตาลง นางจ้องลูกธนูหัวทู่พุ่งตรงมาหาตนเองตาเขม็ง เหงื่อเย็นซึมเปียกแผ่นหลังในชั่วพริบตา ทั้งที่เป็นเดือนหก ทว่าตัวนางราวกับอยู่ในเดือนสิบสองที่หนาวเหน็บ พอลูกธนูยิงถูกลูกท้อ ความสะพรึงกลัวที่ทำให้นางหายใจไม่ออกนั่นถึงสลายหายไป
“คุณหนูเจียง ฝีมือยอดเยี่ยม!” หลังยิงเข้าเป้าโดยไม่พลาดแม้แต่กระผีกเดียวสองครั้งติดกัน ทุกคนค่อยคลายความตึงเครียดลง กลับมามีแก่ใจชมความสนุกดังเก่า
ได้ยินเสียงชมเชยของเด็กสาวทั้งหลาย เจียงซือหร่านยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แววลำพองใจผุดขึ้นบนใบหน้าวูบหนึ่งแล้วจางหายไป
นางกล้าเสนอวิธีท้าดวลเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะมั่นใจในฝีมือยิงธนูของตน เพียงดูว่าคนที่ถูกทดสอบจะมีความกล้าหรือไม่เท่านั้น
ตอนนี้ดูไปแล้ว แม้นคุณหนูสามสกุลหลีผู้นี้จะไม่นับว่ามีความกล้ามากนัก แต่ก็พอใช้ได้
เจียงซือหร่านชายตามองหลีเจี่ยวแวบหนึ่งพลางนึกในใจ แต่รังแกพี่สาวคนโตที่กำพร้ามารดาออกจะไม่เข้าท่าสักเท่าไรจริงๆ วันนี้ถือว่าให้บทเรียนแก่นางสักครั้ง
เจียงซือหร่านดึงความคิดคืนมาแล้วปล่อยสายธนู
ลูกธนูลอยละลิ่วออกไป ทว่าไม่นานนักก็มีเสียงหวีดร้องดังระงมเป็นทอดๆ พวกซูลั่วอียังวิ่งทะยานออกไป ปากก็ตะโกนพูดไม่หยุด “คุณหนูหลีซาน ท่านไม่เป็นไรกระมัง!”
มันเกิดอะไรขึ้น!