เจียงหย่วนเฉานิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนถามขึ้น “คุณหนูหลี…อาการเป็นอย่างไรกันแน่”
เจียงเฮ่อเกาท้ายทอย “ตอนนั้นพวกคุณหนูพากันล้อมวงเข้าไป ต่อมาคุณหนูหลีใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดใบหน้าไว้ตลอด ข้าเห็นไม่ถนัดตา แต่นางเลือดไหลเยอะมาก ข้าคะเนว่าเก้าในสิบส่วนคงต้องเสียโฉมแล้ว”
เขากล่าวถึงตรงนี้แล้วทอดถอนใจอย่างเห็นอกเห็นใจอยู่บ้าง “สาวน้อยหน้าตาสะสวยอย่างคุณหนูหลีเสียโฉมไปน่าเสียดายปานใด วันหน้าจะออกเรือนได้อย่างไรเล่า เฮ้อ…ใต้เท้า ท่านไม่รู้หรอกว่าตอนคุณหนูเจียงบอกให้คุณหนูหลีเป็นเป้าธนู นางตอบตกลงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยนิด แต่ข้าดูออกว่าคุณหนูหลีคงกลัวมากเอาการ นางยืนอยู่ตรงนั้นมือสั่นเทาไปหมด เห็นแล้วน่าสงสารพิกล”
เจียงหย่วนเฉามองเขาแวบหนึ่งด้วยสายตาเย็นชา “พล่ามมากไปแล้ว”
เจียงเฮ่อรีบก้มหน้าไม่กล้าพูดอีก วันนี้ใต้เท้าอารมณ์ไม่ดีจริงๆ เขายืนยันได้
“เจ้าไปที่จวนสกุลหลีแอบสืบดูว่าอาการบาดเจ็บของคุณหนูหลีเป็นเช่นไร”
“ขอรับ”
พอเห็นเจียงเฮ่อจะก้าวออกจากห้อง เจียงหย่วนเฉาพูดต่อท้ายอีกคำอย่างไม่วางใจ “ขืนทำงานไม่ได้เรื่องอีก ข้าจะให้เจ้าขัดถังส้วมไปทั้งปีทั้งชาติ”
เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปแล้ว เจียงหย่วนเฉาถึงยกมือกุมขมับโคลงศีรษะเบาๆ
แม่นางน้อยผู้นั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์แสนกล เหตุใดปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอย่างนั้นได้ เขารู้สึกไม่วายว่านางมิใช่คนที่ยอมเสียเปรียบใคร
หรือว่าจะเสียโฉมจริงๆ
ภาพเด็กสาวยิ้มน้อยๆ อย่างเยือกเย็นผุดขึ้นในห้วงความคิด ในใจเจียงหย่วนเฉาก็หงุดหงิดอึดอัดชอบกล เขาลุกเดินกลับไปที่ข้างหน้าต่าง
ต้นไผ่เขียวขจีเป็นดงทางนอกหน้าต่าง มองดูแล้วชวนให้จิตใจปลอดโปร่งผ่อนคลาย
เจียงหย่วนเฉาพลันไม่มีแก่ใจกลับไปยังจวนท่านผู้บัญชาการเจียง
เด็กสาวเจ้าเล่ห์แสนกลปานใด เจอกับน้องสาวบุญธรรมเกรงว่าล้วนอับจนปัญญากระมัง
อันว่าอำนาจบารมีสยบยอดฝีมือได้ทุกสาย ยามเผชิญกับผู้มีศักดิ์ฐานะต่างกันลิบลับ จะมีช่องให้ความฉลาดปราดเปรื่องได้สำแดงอานุภาพสักเพียงใดเล่า
…ข้าก็แค่นึกเสียดายแทนแม่นางน้อยผู้นั้นอยู่บ้าง เจียงหย่วนเฉาคิดคำนึง
รถม้าม่านสีเขียวคันเล็กกะทัดรัดหยุดจอดที่จวนตะวันตกของสกุลหลี เฉินกวงกระโดดลงมาแล้วตะเบ็งเสียงบอก “คุณหนู ถึงแล้วขอรับ”
ม่านประตูรถม้าแหวกออก อาจูพยุงเฉียวเจาเดินออกมา
“กลับไปเรือนหยาเหอเลย” เฉียวเจาเอ่ยสั่งอาจู หากปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเห็นนางในสภาพนี้ คงไม่แคล้วต้องตกใจจนเป็นลม
“เจ้าค่ะ”
สองนายบ่าวตรงดิ่งกลับไปที่เรือนหยาเหอ แก้มขวาของเฉียวเจาเริ่มบวมทำให้กล่าววาจาได้ลำบากขึ้น นางยกมือชี้ทางเรือนเล็กฝั่งซ้าย
อาจูเข้าใจความหมาย นางอยู่ฝั่งด้านนอกใช้ตัวบังเอาไว้ ประคองเฉียวเจาเดินผ่านซุ้มประตูวงเดือน*เข้าสู่เรือนฝั่งซ้าย
ต้นทับทิมในเรือนฝั่งซ้ายติดผลดกถ่วงให้ปลายกิ่งโน้มลง
ปิงลวี่กำลังเดินวนเวียนอยู่รอบต้นทับทิม ตั้งใจจะหาผลใหญ่ๆ เด็ดมากินสักลูก แต่ช่วยไม่ได้ที่เพลานี้ผลทับทิมยังดิบมาก นางมองหาอยู่นานครู่ใหญ่ก็ไม่พบ ได้แต่หมุนกายกลับอย่างผิดหวัง
สาวใช้น้อยมองปราดเดียวเห็นเฉียวเจาเลือดไหลเต็มใบหน้า
หลังนิ่งงันไปชั่วพริบตา นางก็ร้องเสียงแหลมดังก้องฟ้า “ตายแล้ว! คุณหนูบาดเจ็บได้อย่างไร…”
เฉียวเจาอยากเบะปากอย่างมาก จนใจที่เจ็บหน้าเกินไปเลยทำไม่ไหว
ครู่หนึ่งต่อมา เหอซื่อวิ่งทะยานเข้ามาทางซุ้มประตูวงเดือน “เจาเจาบาดเจ็บตรงที่ใดหรือ!”
นางเพิ่งพูดจบแล้วเห็นสภาพของเฉียวเจาเต็มตา ก็มีเสียงร้องดังก้องฟ้าเป็นคำรบที่สองอย่างรวดเร็ว “ตายแล้ว! เจาเจาของข้า นี่เจ้าเป็นอะไรไป”
แม่นางเฉียวที่วิงเวียนตาลายอยู่ลอบรำพึงในใจ ดีมาก ครานี้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคงรู้เรื่องแล้ว
เหอซื่อเข้าไปกอดบุตรสาวพลางร่ำไห้ยกใหญ่จนปิงลวี่ถูกเบียดออกไปด้านข้าง นางร้อนใจจนเต้นเหยงๆ พอมองเห็นอาจูก็ด่าทอ “อาจู นางตัวดี เจ้าติดตามคุณหนูประสาใดกัน ตอนออกจากจวนคุณหนูยังปกติดี ไฉนบาดเจ็บกลับมาเช่นนี้ เจ้ายังมีหน้าตามกลับมาอีกหรือ”
ใบหน้าของอาจูซีดเผือด แต่สีหน้าสุขุมดุจเก่า นางไม่แยแสเสียงถามไล่เลียงของปิงลวี่ เอ่ยเตือนขึ้นว่า “นายหญิง พยุงคุณหนูเข้าเรือนก่อนเถอะ ค่อยถามคุณหนูว่าสมควรทำอย่างไรต่อนะเจ้าคะ”
คุณหนูยืนกรานกลับมาจะต้องมีวิธีของนางแน่
เหอซื่อถึงได้สติ ตะโกนบอกปิงลวี่ “มัวยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด รีบไปเชิญหมอมาสิ!”