เฉียวเจาสบตาเขาอย่างใจเย็นแล้วคลายยิ้มฉับพลัน
วันนี้ต่างจากวันวานแล้ว…
สาวน้อยหลีเจานั้นขอความช่วยเหลือจากพวกคนที่มุงดูอยู่ แม้นคนจะมาก แต่แท้จริงแล้วขอเพียงคนผู้นี้บอกเหตุผลที่พอฟังขึ้นสักข้อ คนเหล่านี้จะเห็นว่ามิใช่กงการอันใดของตนแล้วแยกย้ายกันไป
แต่นางขอความช่วยเหลือจากคนที่เจาะจงเลือกไว้ คนผู้นั้นย่อมบังเกิดความรู้สึกรับผิดชอบเพิ่มขึ้นอีกโดยไม่รู้ตัว จึงไม่ฟังความข้างเดียวจากบุรุษผู้นั้น
เหนือสิ่งอื่นใดเขาคือฉือชั่น หากเขาไม่มีกระทั่งความสามารถแยกแยะเรื่องแค่นี้ ไหนเลยจะคบค้าวิสาสะกับพวกเชื้อพระวงศ์และขุนนางสูงศักดิ์ที่มีจิตใจคดเคี้ยวเลี้ยวลดได้
“แม่นางน้อย เจ้าหนีตามคนอื่นไปจริงหรือ” ฉือชั่นโน้มกายน้อยๆ ทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เห็นชัดว่ากำลังตลกขบขันเฉียวเจาอยู่
นางไต่ถามด้วยสีหน้าขึงขัง “ท่านอา ถ้าบุตรสาวท่านหนีตามคนอื่นไป ท่านจะป่าวร้องออกมาโดยไม่นำพาชื่อเสียงหน้าตาของนางแม้แต่น้อยนิดหรือไม่เจ้าคะ”
ไม่มีทางอยู่แล้วแน่นอน!
ฉือชั่นจะพูดตอบโดยไม่ทันคิด เขาต้องรีบยั้งปากไว้แทบไม่ทัน
ล้อเล่นอะไรกัน เขามีบุตรสาวโตถึงเพียงนี้ที่ใด ต้องเป็นเพราะได้ยินแม่นางน้อยผู้นี้เรียกท่านอาๆ มากเกินไปเป็นแน่
ฉือชั่นยืนห่างออกมาหนึ่งก้าวเงียบๆ เหลือบเห็นฝูงชนที่ค่อยๆ ล้อมวงเข้ามาทางหางตาแล้วไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับบุรุษผู้นี้ต่อไป เขาเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ “เจ้าทั้งคู่ล้วนกล่าวมีเหตุผล…”
“คุณชายเชื่อคำพูดเหลวไหลของเด็กได้อย่างไรเล่า อีกอย่างนี่เป็นเรื่องในครอบครัวของพวกข้าสองพ่อลูก…”
ฉือชั่นยิ้มกับโจรค้าทาส ด้วยเขารูปงามเหลือเกิน เพียงรอยยิ้มนี้ก็ทำให้ฤดูใบไม้ผลิยังต้องหมดสีสัน “พี่ชายท่านนี้วางใจได้ ข้ามิใช่พวกที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นแน่นอน”
โจรค้าทาสลอบถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก เขาฉีกยิ้มกว้าง พลันก็ได้ยินบุรุษผู้หล่อเหลาไม่เป็นสองรองใครนั่นพูดอย่างเนิบนาบ “ดังนั้นไปพบเจ้าหน้าที่ของทางการกันดีกว่า ให้ผู้ว่าการเมืองเป่าหลิงเป็นคนตัดสินว่าใครถูกใครผิด”
พอบุรุษตรงหน้าทำท่าอ้าปากค้าง เขาก็กล่าวปลอบเสียงนุ่ม “พวกข้าสามสหายจะพาพวกท่านไปส่งที่ที่ว่าการแล้วจะไม่ยุ่มย่ามเด็ดขาด”
“เจ้า…เจ้า…” เจอกับคนประหลาดผิดชาวบ้านพรรค์นี้ โจรค้าทาสถึงกับหมดคำพูดจะโต้กลับไปชั่วขณะ
ฉือชั่นย่นหัวคิ้วกะทันหัน หันหน้าไปเอ่ยกับบุรุษชุดสีน้ำเงิน “จื่อเจ๋อ ข้าจำได้ว่าสามปีก่อนผู้ว่าการเมืองเป่าหลิงผู้นี้เคยปฏิบัติหน้าที่ในอำเภอจยาเฟิงกระมัง”
เฉียวเจาสบช่องลอบพิศดูบุรุษชุดสีน้ำเงินแวบหนึ่ง
ท่านปู่มีสหายรักรู้ใจผู้หนึ่ง เป็นหมอเทวดาแห่งยุค ตอนท่านปู่ล้มป่วยในปีที่นางอายุแปดขวบ ท่านพาท่านย่ากับนางกลับไปพำนักที่จยาเฟิงตามคำแนะนำของหมอเทวดาหลี่ท่านนั้น
ในกาลก่อนทุกปีหมอเทวดาหลี่จะมาพักที่จยาเฟิงชั่วระยะสั้นๆ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพให้ท่านปู่ ปกตินางศึกษาตำราแพทย์อย่างหลากหลายกว้างขวางอยู่แล้ว ทุกครายามหมอเทวดามาเยือน นางจะฉวยจังหวะขอคำชี้แนะวิชาแพทย์จากเขา พริบตาเดียวผ่านไปสิบกว่าปี นางก็นับว่าเป็นลูกศิษย์ครึ่งตัวของหมอเทวดาหลี่แล้ว ภายหลังสุขภาพของท่านปู่ก็ได้อาศัยนางเป็นคนฟื้นฟูให้เรื่อยมา