บทที่ 4
ต้นหลิวสองฟากฝั่งน้ำสะบัดไหวลู่ลม เรือสำเภาลำไม่ใหญ่มากลำหนึ่งล่องไปตามลำน้ำงดงามในวสันตฤดูมุ่งหน้าสู่ทิศใต้
ฉือชั่นกับบุรุษชุดสีน้ำเงินนั่งประจันหน้ากันตรงหัวเรือกำลังเดินหมากล้อมอยู่ ด้านบุรุษชุดสีเขียวยืนพิงราวรั้วเรือเหม่อมองเกลียวคลื่นม้วนทบกันที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างเลื่อนลอยเบื่อหน่าย
เรือแล่นไปนานเท่าไรก็สุดรู้ เด็กหนุ่มชุดสีเขียวประคองถาดด้วยสองมือก้าวเท้าเลี้ยวออกมาจากห้องในตัวเรือ บนถาดวางน้ำชาไว้สี่ถ้วย เขาวางสองถ้วยลงใกล้ๆ มือสองคนที่ดวลหมากกันอยู่ และถือถ้วยหนึ่งเดินไปตรงราวรั้วยื่นส่งให้บุรุษชุดสีเขียว
บุรุษชุดสีเขียวรับมาจิบคำหนึ่งแล้วกล่าวยิ้มๆ “ยังคงเป็นหลีซานที่ดีกว่าใครๆ ไม่เหมือนพวกเขาสองคน พอได้เดินหมากก็ไม่รู้จักจบจักสิ้น เป็นต้นเหตุให้ข้าต้องทนหิวอยู่เป็นเพื่อนบ่อยๆ”
ที่แท้ผู้ที่แต่งกายเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือเฉียวเจานั่นเอง
เพราะนางพูดอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เอ่อ…หรือจะตีความว่าตามเซ้าซี้ไม่ลดละก็ได้ ในที่สุดฉือชั่นจึงได้ยอมแพ้พยักหน้าตกลงพานางมาด้วย แต่มีข้อแม้ว่านางต้องปลอมตัวเป็นบุรุษเพื่อสะดวกต่อการเดินทาง
เพลานี้เรือแล่นมาได้สองวันแล้ว
“พี่หยาง อีกนานเท่าใดจึงจะถึงจยาเฟิงเจ้าคะ”
ร่วมเดินทางกันมาสองวัน เฉียวเจารู้แล้วว่าบุรุษชุดสีน้ำเงินชื่อจูอู่ ส่วนบุรุษชุดสีเขียวชื่อหยางเอ้อร์ เห็นชัดว่าทั้งสามคนไม่ปรารถนาจะบอกฐานะแท้จริงกับนาง ซึ่งนางเองก็ไม่ใส่ใจ
“หลังเที่ยงวันก็น่าจะถึงแล้ว แต่พวกเราไม่เข้าเมือง ถึงตอนนั้นจะเปลี่ยนเป็นขี่ม้าไปที่คฤหาสน์แห่งหนึ่งเยี่ยมคารวะท่านเจ้าของ” หยางเอ้อร์กล่าว
เฉียวเจารู้สึกสะดุดใจ
สามปีก่อน ฉือชั่นเดินทางไปถึงคฤหาสน์ที่พำนักปลีกสันโดษของท่านปู่เพื่อขอร้องให้ท่านชี้แนะทักษะการวาดภาพ ทว่าท่านปู่บอกปัด
ฉือชั่นไม่ละความพยายาม ทำหน้าหนาดึงดันอยู่ที่นั่นนานสามวัน ท่านปู่จนปัญญาเลยมอบผลงานในสมัยวัยหนุ่มให้เขาไปภาพหนึ่งถึงทำให้เขายอมกลับไปได้
ตอนนั้นเองที่นางได้รู้จักกับฉือชั่น แน่นอนว่าเขากับนางเคยพบหน้าค่าตากันเพียงสองหน
พวกฉือชั่นสามคนจะไปเยี่ยมคารวะเจ้าของคฤหาสน์แห่งหนึ่งแถวๆ จยาเฟิง
หรือว่า…
เฉียวเจาคิดคำนึงถึงตรงนี้แล้วลมหายใจก็ถี่รัวขึ้นหลายส่วน
หรือว่าที่ที่ฉือชั่นกำลังจะไปเยือนคือเรือนของข้า
ใต้หล้ามีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้จริงๆ หรือจะพูดว่านางลืมตาขึ้นมาแล้วกลายเป็นหลีเจานั้นเป็นชะตาลิขิตอันแสนลี้ลับกัน
เฉียวเจาก้มหน้าเพ่งมองมือของตนเอง
มือของแม่นางน้อยนุ่มนิ่มเรียวเล็กดุจลำเทียน ต่างจากมือของนางที่แม้จะสวยงามทว่าผิวหนังตรงปลายนิ้วกลับด้านแข็งเป็นแผ่นบางๆ
จวบจนบัดนี้ ถึงแม้จะมีความทรงจำของแม่นางน้อยหลีเจาอยู่ แต่นางยังไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นคนอีกคนหนึ่งได้อยู่ดี
กระนั้นชั่วขณะที่เพ่งมองมือคู่นี้ เฉียวเจาเริ่มเคว้งคว้างอยู่บ้าง นางสมควรอยู่ในเรือนตนเองด้วยฐานะหลีเจาเช่นไรเล่า
เฉียวเจาเดินย้อนกลับไปนั่งลงถือถ้วยชาไว้พลางจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตน
ความคิดในหัวนางวกวนไปมาเป็นร้อยเป็นพันตลบ เพียงรู้สึกว่านี่เป็นปัญหายุ่งยากที่แก้ไม่ตก ระหว่างที่ใจลอยอยู่นางได้ยินเสียงต่อปากต่อคำของคนทั้งสาม
“สือซี จื่อเจ๋อ พวกเจ้าจะเดินหมากไปถึงเมื่อไร ไม่กินข้าวหรือไร”
เฉียวเจาเงยหน้าขึ้นถึงพบว่าคนครัวบนเรือยกข้าวปลาอาหารมาวางบนโต๊ะแล้ว กลิ่นหอมของมันคล้ายลอยมุดเข้าไปถึงในท้อง