ผู้เป็นลูกพี่ตัวสูงใหญ่บึกบึน ใบหน้าเป็นสีแดงปลั่ง อาภรณ์บนกายแลดูสง่าภูมิฐานพอดู เขาจับจ้องมาทางหน้าประตูอย่างไม่วางตา
เซ่าหมิงยวนมุ่นคิ้วน้อยๆ
สายตาของอีกฝ่ายโอหังเกินไป ชวนให้ไม่สบอารมณ์ดีแท้
ฉือชั่นบันดาลโทสะแล้ว “มองอะไร ขืนมองอีกจะแทงตาสุนัขเยี่ยงเจ้าให้บอดไปเลย”
ผู้เป็นลูกพี่หัวเราะพรืดอย่างชอบใจ แววตาเคลิ้มลอยพลางเอ่ยว่า “น่าเอ็นดูนัก สาวน้อยผู้นี้ยอดเยี่ยมมาก โฉมงามถึงเพียงนี้ กลับปลอมตัวเป็นชายได้คล้ายคลึงอย่างยิ่ง กระทั่งเสียงพูดยังดัดได้เหมือน ถ้าไม่ใช่ข้าสายตาดี คงโดนตบตาแล้วจริงๆ”
รูปหน้าของฉือชั่นงามละเมียดละไมสมส่วน เรือนกายผอมบางกว่าหนุ่มฉกรรจ์ไปบ้าง ทว่าไม่ได้ดูอ้อนแอ้นอรชรเฉกอิสตรี สาเหตุที่ผู้มาถึงเห็นเขาเป็นสตรี ประการแรกเพราะได้ข่าวว่าในหมู่คนต่างถิ่นมีหญิงสาวถึงทึกทักเอาเอง ประการที่สองเพราะไม่ได้พบเจอหญิงสาวในเมืองมานานระยะหนึ่ง แวบแรกที่ได้เห็นคนงามเพียงนี้ย่อมคิดไม่ถึงว่าจะเป็นบุรุษ
เรื่องที่ฉือชั่นเกลียดชังที่สุดคือพวกบุรุษเห็นตนเป็นสตรี จึงพาให้เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟทันควัน เขาโกรธจัดแต่กลับยิ้ม “อย่างนั้นหรือ เจ้าเก่งกาจถึงเพียงนี้จริงๆ รึ”
เขาก้าวออกมาจากกลุ่ม เดินด้วยฝีเท้าเป็นจังหวะไปตรงเบื้องหน้าผู้เป็นลูกพี่
ลูกพี่กำลังหลงใหลเคลิบเคลิ้มจนลืมตัว เขาเอ่ยขึ้นอย่างห้ามใจไม่อยู่ “สาวน้อยอยากลองหรือไม่”
หญิงงามเช่นนี้เขาเพียงอยากเก็บซ่อนไว้ หักใจส่งตัวไปไม่ลงจริงๆ
“อย่างนั้นข้าก็จะลองดู” ฉือชั่นเผยรอยยิ้มที่แผ่ไปไม่ถึงดวงตา ยกเท้าถีบตรงไปที่ท่อนล่างลำตัวของลูกพี่
บุรุษย่อมรู้ตำแหน่งกล่องดวงใจของบุรุษด้วยกันได้แจ่มแจ้งกว่าสตรีแน่นอน แรงถีบนี้ทั้งแม่นยำทั้งหนักหน่วง ลูกพี่ร้องโหยหวนเสียงหนึ่งแล้วล้มลงกับพื้นชักดิ้นชักงอทันใด เขาดิ้นไปแผดเสียงร้องอย่างน่าอนาถไป
หยางโฮ่วเฉิงซึ่งกวาดอาหารบนโต๊ะจนเรียบวุธแล้วยืนอยู่หน้าประตู พูดเสียงพึมพำว่า “ทีนี้ดีล่ะ ในแผ่นดินก็มีขันทีเพิ่มขึ้นอีกคน”
“พวกเจ้า พวกเจ้ามัวยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด…ลุย…ลุยเข้า…” ลูกพี่ยังกล่าวคำว่า ‘ลุยเข้าไป’ ไม่จบก็ตาเหลือกสิ้นสติไปด้วยความเจ็บปวด
ลูกสมุนที่เขาพามามองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าสมควรทำอย่างไรดีไปชั่วขณะ
เซ่าหมิงยวนกล่าวเตือนด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พวกเจ้าไม่รีบพาเขาไปหาหมอหรือ บางทีอาจยังมีโอกาสต่อกลับเข้าที่นะ”
คนพวกนั้นอึ้งงันไป จากนั้นมีคนหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “ใครจะพานายน้อยไปโรงหมอกับข้า พวกเจ้าที่เหลืออยู่อย่าปล่อยให้คนพวกนี้หนีไปได้”
สิ้นเสียงเขาคนทั้งกลุ่มแย่งกันพูดยกใหญ่ “ข้าไปๆ!”
อย่าล้อเล่น ใครจะกล้าอยู่ที่นี่เล่า กระทั่งนายน้อยยังโดนเตะกล่องดวงใจไปแล้ว คนใดอยู่คนนั้นเคราะห์ร้าย!
“อะไรกัน ไปกันหมดแล้วคนพวกนี้หนีไปจะทำเช่นไร พวกเขาหนีไป พวกเราจะกลับไปรายงานตัวอย่างไร บัดซบ!” คนผู้นั้นด่าทอคำหนึ่ง “เจ้าสี่ เจ้าไปกับข้า!”
เจ้าสี่ที่ถูกขานชื่อดีใจจนออกนอกหน้า เขากล่าวเสียงดัง “ขอรับ”
ทั้งคู่หามลูกพี่ที่สลบไสลไม่ได้สติพาออกไปอย่างรวดเร็วราวกับเหาะ
คนที่เหลืออยู่มองหน้ากันไปมา หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นอย่างมีไหวพริบ “ข้าไปแจ้งข่าวนายตำบล!”
คนอื่นๆ ยื่นมือฉุดตัวเขาไว้ “อาศัยอะไรให้เจ้าไป ข้าไปเอง!”
พวกเขานึกไปถึงเหตุการณ์ที่นายน้อยโดนถีบกล่องดวงใจเมื่อครู่ก็แข้งขาอ่อนแรง อยากจะหนีไปให้พ้นๆ ใจจะขาด เมื่อเกิดการยื้อแย่งขึ้นมาย่อมจะไม่ลดราวาศอกสักนิด
สุดท้ายพอหมดหนทางแล้ว มีคนหนึ่งพูดเสนอขึ้น “หรือไม่ไปแจ้งข่าวพร้อมกัน”
“ดี!” ข้อเสนอนี้ได้รับความเห็นชอบจากคนอื่นๆ ทันที
คนที่พูดเสนอขึ้นมองพวกเซ่าหมิงยวนแล้วทำใจดีสู้เสือกล่าวว่า “แน่จริงพวกเจ้าอย่าหนีนะ”
ฉือชั่นหัวเราะพรืดอย่างขบขัน “พวกเจ้าเบาปัญญาเลยนึกว่าคนอื่นก็เบาปัญญาเช่นกันหรือ”
ด้านเซ่าหมิงยวนกลับบอกเสียงเรียบ “ได้”
เอ๊ะ พูดง่ายถึงเพียงนี้?
คนพวกนั้นเบิกตากว้างมองเซ่าหมิงยวน
คำพูดของคนผู้นี้มีน้ำหนักหรือไม่กันแน่ ตอนนี้พวกเขาวิ่งไปแจ้งข่าวกับนายตำบล ประเดี๋ยวนายตำบลพาคนมาแล้วถ้าพบว่าคนพวกนี้หายตัวไปแล้วพวกเขาต้องแย่แน่ๆ
“วางใจได้ พวกข้าไม่หนีจริงๆ” แม่ทัพหนุ่มเลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลงตามใจชอบ ริมฝีปากแฝงรอยยิ้มยามกล่าว “พวกเจ้าบอกมิใช่หรือว่าแน่จริงอย่าหนี”
หยางโฮ่วเฉิงหัวร่อลั่น “ใช่ คนไม่แน่จริงอย่างพวกเจ้ารีบๆ ไปเสีย”
คนพวกนั้นหน้าแดงจรดใบหู ฝืนทำใจแข็งพูดทิ้งท้ายไว้ “พวกเจ้ารอก่อนเถอะ”
โถงร้านเงียบเชียบไปในอึดใจเดียว
หยางโฮ่วเฉิงหย่อนกายลงนั่ง เขาถามเซ่าหมิงยวน “ต่อจากนี้พวกเราจะทำอย่างไร”
“พวกเราต้องซื้อหาเสบียงเพิ่มเติมเพื่อออกทะเลก็ต้องอยู่ที่นี่เป็นธรรมดา จะได้ดูว่านายตำบลที่ส่งหญิงสาวไปให้ชาววอโค่วผู้นั้นเป็นคนใหญ่คนโตจากที่ใดได้พอดี” เซ่าหมิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ตำบลนี้เล็กมาก แค่ราวสองเค่อร้านสุราก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งตีวงล้อมไว้แล้ว