ทั้งสี่คนย้อนกลับมาที่หมู่บ้านไป๋อวิ๋นอีกครั้ง เอาก้อนเงินเล็กๆ ให้เด็กหนุ่มรุ่นกระทงผู้หนึ่งพาพวกตนไปหาผู้ใหญ่บ้าน
“ท่านผู้มาเยือนคงจะมาเยี่ยมคารวะใต้เท้าเฉียวกระมัง” ผู้ใหญ่บ้านถามเข้าเรื่องทันที
ฉือชั่นกำลังอารมณ์ไม่ดี จูเยี่ยนจึงอ้าปากตอบแทน “ไม่ผิด พวกข้าเดินทางไกลมาเพื่อเยี่ยมคารวะใต้เท้าเฉียว คาดไม่ถึงว่าพอผ่านสวนซิ่งจื่อไปกลับได้เห็น…”
ผู้ใหญ่บ้านถอนใจเฮือกหนึ่ง “ท่านทั้งหลายคงไม่ล่วงรู้ว่าหลายวันก่อนเรือนสกุลเฉียวโดนไฟไหม้ครั้งใหญ่ ครอบครัวของใต้เท้าเฉียวฝังร่างกลางทะเลเพลิงกันหมดแล้ว…”
เฉียวเจาสั่นเทาไปทั้งสรรพางค์กาย โชคดีที่นางนั่งอยู่ในมุม จึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
“จู่ๆ เหตุใดถึงไฟไหม้ได้” ฉือชั่นพูดโพล่งขึ้น
ผู้ใหญ่บ้านมีสีหน้าระทมหม่นหมอง เขากล่าวทอดถอนใจ “ใครจะรู้เล่า เกิดไฟไหม้ตอนพลบค่ำ กว่าพวกข้าจะเห็น ไฟก็ลุกลามโหมแรงมากจนเข้าไปไม่ได้เลย บุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวไม่ฟังเสียงห้ามปรามของทุกคน เสี่ยงตายบุกเข้ากองเพลิงช่วยน้องสาวคนเล็กของเขาออกมาได้ หลังจากนั้นเรือนทั้งหลังก็พังทลาย…”
“บุรุษหน้าหยกสกุลเฉียว?” เฉียวเจารับฟังด้วยหัวใจที่แหลกสลาย จวบจนได้ยินคำนี้หัวใจนางถึงเริ่มเต้นแรงขึ้น
พี่ใหญ่ของข้ายังมีชีวิตอยู่?
“คุณชายเฉียวยังมีชีวิตอยู่หรือ” จูเยี่ยนถามสิ่งที่เฉียวเจาอยากถามมากที่สุด
“ก็ชาวสกุลเฉียวออกทุกข์แล้วมิใช่หรือ วันนั้นคุณชายเฉียวออกจากเรือนไปเยี่ยมสหายพอดีถึงพ้นเคราะห์ภัยนี้มาได้ ตอนคุณชายเฉียวกลับมาพบว่าเรือนกำลังไฟไหม้ ถึงได้ฝ่าทะเลเพลิงเข้าไปช่วยชีวิตน้องสาวคนเล็กไว้” ผู้ใหญ่บ้านพูดอธิบาย
“ถ้าเช่นนั้นคุณชายเฉียวกับคุณหนูเฉียวล้วนปลอดภัยดี?” เฉียวเจาเพียรเก็บงำความรู้สึกเต็มที่ นางกล่าวถามเสียงเบา
คุณหนูเฉียวตามคำเรียกขานจากปากผู้ใหญ่บ้านคือเฉียวหว่าน น้องสาวต่างมารดาของนาง
ผู้ใหญ่บ้านมองปราดไปที่เฉียวเจาก่อนเอ่ยขึ้น “ดูคล้ายคุณหนูเฉียวจะไม่เป็นอะไร ส่วนคุณชายเฉียว…”
“เป็นอย่างไร” ทั้งสี่คนร้องถามเป็นเสียงเดียวกัน
“คุณชายเฉียวเสียโฉมแล้ว” ผู้ใหญ่บ้านตอบแล้วถอนหายใจยาวเหยียด
เสียโฉมแล้ว?
พวกฉือชั่นสามคนต่างเคยเห็นหน้าเฉียวโม่มาก่อน รูปลักษณ์ที่โดดเด่นเลอเลิศเหนือใครในแผ่นดินของเขาผุดวาบขึ้นในหัวสมองอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อครั้งเฉียวโม่อยู่ในเมืองหลวง มีกิตติศัพท์ความหล่อเหลาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฉือชั่น ยากจะนึกภาพออกว่าใบหน้านั้นเสียโฉมไปแล้วจะมีสภาพเช่นไร
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ” ผู้ใหญ่บ้านพูดสิ่งที่ทุกคนคิดอยู่ในใจออกมา
เฉียวเจาอ้าปากขมุบขมิบ ไม่น่าเสียดาย ขอแค่พี่ชายของข้ามีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว!
“เช่นนั้นตอนนี้คุณชายเฉียวอยู่ที่ใด”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว ศพของชาวสกุลเฉียวยังต้องอาศัยคนในหมู่บ้านช่วยกันจัดการฝังพร้อมกับคุณชายเฉียว พอเสร็จเรียบร้อย เขาก็พาน้องสาวจากไปโดยไม่ล่ำลา ใบหน้ายังมีบาดแผลแท้ๆ ไม่รู้ว่าไปที่ใดได้”
“เมืองหลวง” เฉียวเจาหลุดปากพูดออกมา
ทุกคนหันมามองอย่างหลากใจ
เชิงอรรถ
* ไม้ชิว (Chinese Catalpa) เป็นไม้เนื้อดีมีค่าของประเทศจีน ใช้ทำเครื่องเรือนหรือปลูกเป็นไม้ประดับ
* ซื่อจื่อ เป็นคำเรียกทายาทผู้จะสืบทอดชั้นยศ ปกติคือบุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก
** จวี่เหริน คือการสอบขุนนางในสมัยโบราณ (เคอจวี่) แบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ โดยสอบเลื่อนทีละระดับชั้น เริ่มจากระดับอำเภอหรือจังหวัดเรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบเซียงซื่อในระดับมณฑล หากสอบผ่านจะได้เป็นจวี่เหริน ซึ่งต้องเข้ามาสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็นจิ้นซื่อ ได้บรรจุเข้ารับราชการ เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับ จะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบเตี้ยนซื่อ เพื่อคัดเป็นบัณฑิตเอกสามขั้น ซึ่งบัณฑิตเอกชั้นหนึ่งมีสามคน เรียงตามคะแนนเรียกว่าจ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา
*** ซิ่ง หมายถึงแอปปริคอต
* บุ๋นไร้ที่หนึ่ง บู๊ไร้ที่สอง เป็นสำนวนจีน หมายถึงความสามารถด้านบุ๋นนั้นยากจะวัดได้ชัดเจนว่าใครเป็นที่หนึ่ง ในขณะที่ความสามารถด้านบู๊ใช้วิธีประลองฝีมือเพื่อชิงความเป็นหนึ่งได้
* คำว่า จู พ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า “หมู” ซึ่งมักใช้เป็นคำด่าในเชิงว่าไม่มีสมอง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 มิ.ย. 65 เวลา 12.00 น