บทที่ 3
คนที่เพิ่งเดินเข้ามาผู้นี้คือซูลั่วอวิ๋น บุตรสาวคนโตที่ถูกขับไล่ไสส่งกลับบ้านเดิมนั่นเอง
นิ้วชี้ของซูหงเหมิงยื่นมาเกือบจะชิดหน้านางแล้ว ทว่านางยังคงมองตรงไปข้างหน้าดังเดิมพลางยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“ท่านพ่อกล่าวล้อเล่นแล้ว ตอนนั้นท่านเคยเชิญหมอฝีมือดีมาตรวจอาการให้ข้า เส้นลมปราณของข้าอุดตันเพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือน คงมองไม่เห็นไปตลอดชีวิต”
“พี่ลั่วอวิ๋น เมื่อครู่ตอนท่านเข้ามาราวกับเดินบนพื้นราบเรียบอย่างไรอย่างนั้น เหมือนคนตาบอดที่ใดกัน…” ซูจิ่นเฉิงน้องคนเล็กอ้าปากโพล่งขึ้นอย่างอดไม่ได้
เขาพูดไม่ทันจบก็ถูกซูกุยเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างผลักเต็มแรงคราหนึ่ง “ห้ามเรียกพี่สาวข้าว่าคนตาบอด!”
ซูลั่วอวิ๋นไม่ปล่อยให้น้องชายโวยวายต่อ นางเดินอ้อมเก้าอี้มาหา ยกมือคลำใบหน้าเขาแล้วคลี่ยิ้มพลางพูด “น้องสามกล่าวไม่ผิด ดวงตามองไม่เห็นไม่ใช่คนตาบอดแล้วจะเป็นอะไร กุยเยี่ยน เจ้าตัวสูงถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดยังพูดเอะอะเสียงดังกับน้องสามเหมือนเด็กน้อยอีกเล่า มาให้ข้าจับตัวเจ้าดูสักคราว่าอ้วนพีขึ้นหรือไม่”
ท่าทางที่ยอมรับความจริงว่าตนตาบอดอย่างสงบเยือกเย็นเช่นนี้ไม่คล้ายบุตรสาวคนโตของสกุลซูที่กลายเป็นคนอารมณ์ร้ายหลังดวงตามองไม่เห็นคนนั้นในความทรงจำของคนสกุลซูเลยสักนิด
ประหนึ่งว่าเวลาสองปีนี้ช่วยเคี่ยวกรำเด็กสาวผู้โชคร้ายนางนี้ให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา
ตอนนี้เองติงซื่อก็เริ่มสั่งสอนซูจิ่นเฉิงอย่างไม่หนักไม่เบา ห้ามไม่ให้เขาไร้มารยาทต่อพี่สาวคนโต
ซูลั่วอวิ๋นลูบแก้มตอบๆ ของน้องชายอย่างไม่ใคร่พึงใจเสร็จแล้วก็หันกายไปยืนด้านข้างซูหงเหมิง ดวงตามองไปในความว่างเปล่า จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างอ่อนน้อม
“ท่านพ่อเดินทางมาถึงที่นี่รู้สึกเหนื่อยล้าหรือไม่เจ้าคะ ข้านำชาขมบนเขามาด้วยพอดี หากชงกับโก่วฉี่ และพุทราเชื่อมจะได้รสชาติอีกแบบหนึ่ง ดื่มแล้วชื่นใจเจ้าค่ะ”
ขณะที่เริ่มชงชา ทุกคนนั่งลงล้อมวงรอบโต๊ะมองไปทางซูลั่วอวิ๋นซึ่งรินน้ำชงชาด้วยตนเองอย่างคล่องแคล่วลื่นไหล ไม่เห็นอาการเก้ๆ กังๆ แม้สักนิดเดียว
ซูหงเหมิงถามขึ้น “ดวงตาเจ้ายังไม่หายดีหรือ แต่ข้าดูเจ้าแล้ว…ตอนนี้เป็นปกติดีเหลือเกิน” ถ้าซูลั่วอวิ๋นยังตาบอดอยู่ เหตุใดถึงเดินเหินและทำอะไรได้ตามสบายเช่นนี้ จะไม่ฉงนสงสัยก็คงไม่ได้
ซูลั่วอวิ๋นยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวตอบ “ข้าพำนักในเรือนหลังเก่านี้มานานสองปีย่อมคุ้นเคยเป็นธรรมดา ปกติเดินไปไหนมาไหนก็ไม่เป็นปัญหา แต่หากเป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยยังต้องใช้มือคลำทางอยู่ สำหรับเรื่องชงชานี้ยิ่งง่ายดาย บนถาดน้ำชามีลวดลายและทุกครั้งสาวใช้จะวางถ้วยชาในตำแหน่งเดิมเสมอ เพื่อให้ข้าหยิบจับได้สะดวกเจ้าค่ะ”
ซูหงเหมิงฟังแล้วต้องพยักหน้าคล้อยตามอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรบุตรสาวคนโตก็ดูเหมือนจะยอมรับความจริงว่าตนเองตาบอดได้แล้วและเปลี่ยนเป็นคนมีเหตุผลขึ้นมาก เรื่องนี้ทำให้ผู้เป็นบิดาปลาบปลื้มใจอยู่บ้างในที่สุด
ยามมองดูบุตรสาวคนโตในเวลานี้ ซูหงเหมิงก็ทอดถอนใจ…หากซูลั่วอวิ๋นไม่ได้ตาบอด รูปโฉมที่โดดเด่นเหนือใครปานนี้จะแต่งเข้าจวนอ๋องก็ยังได้!
ด้วยเหตุนี้การพบหน้าระหว่างบิดากับบุตรสาวที่นึกภาพกันไว้ว่าต้องเชือดเฉือนฟาดฟันกันจึงกลับกลายเป็นอบอุ่นชื่นมื่น บรรยากาศเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่เมตตาและกลมเกลียวปรองดอง
ซูลั่วอวิ๋นไม่เพียงปฏิบัติต่อบิดาเช่นนี้ นางยังวางตัวสมเป็นพี่สาวคนโตที่ดีกับมารดาเลี้ยงและพวกน้องชายน้องสาว ไม่หลงเหลือความก้าวร้าวเจ้าอารมณ์ตอนแยกจากกันเมื่อสองปีก่อนให้เห็นสักเศษเสี้ยว
ตอนแรกซูหงเหมิงเตรียมตัวเตรียมใจไว้ว่าต้องทะเลาะกับบุตรสาวสักยกหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าในช่วงสองปีมานี้บุตรสาวคนโตจะขัดเกลาตนเองจนกลายเป็นคนสุขุมหนักแน่นและมีมารยาทมากกว่าตอนก่อนตาบอดเสียอีก เขาลูบเคราอย่างพึงพอใจ รู้สึกว่าเส้นทางขุนนางสะดวกไร้อุปสรรค กระทั่งเรื่องในครอบครัวก็ราบรื่นไม่น้อย
ติงเพ่ยก็มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ทว่านางนึกแปลกใจอยู่ครามครัน…ถ้าบอกว่าอยู่เรือนหลังเก่าจนคุ้นเคยแล้ว ซูลั่วอวิ๋นจะจดจำตำแหน่งการจัดวางสิ่งของได้ก็มีเหตุผลพอเข้าใจกันอยู่
แต่เพราะเมื่อครู่เอาพรมผืนหนามาปูพื้น หินกรวดที่ใช้เป็นเครื่องหมายก็หมดประโยชน์ใดๆ เครื่องเรือนทุกจุดก็ย้ายตำแหน่ง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่ายังมีอ่างน้ำตรงข้างประตูด้วย หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวอาจเหยียบอ่างจนล้มคว่ำได้ ซูลั่วอวิ๋นคนนี้ตาบอดจริงหรือ เหตุใดถึงเคลื่อนกายไปมาอย่างเยือกเย็นตามสบายราวกับเดินอยู่บนพื้นโล่งเตียนได้เล่า