บทที่ 2
ซูหงเหมิงฟังวาจานี้ของติงซื่อแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล สีหน้าที่ผ่อนคลายลงแล้วกลับเคร่งเครียดขึ้นอีกครา เขาพูดเสียงกระด้าง “กลับถึงบ้านเดิมก็ยังต้องเหนื่อยใจอีก”
ตอนเดินเข้าสู่เรือนหลังเก่าซูหงเหมิงพบว่าพื้นหินของลานเรือนคล้ายผ่านการปูลาดใหม่ได้ไม่นาน ใช้แผ่นหินสี่เหลี่ยมจัตุรัสแผ่นเล็กทั้งสิ้น ทั้งยังเอาหินกรวดก้อนเล็กมาปูให้นูนออกมาตามแนวร่องแผ่นหิน ยามย่ำเท้าลงไปจึงไม่ราบเรียบสบายเท้านัก
ซูไฉ่เจียนที่เดินอยู่ด้านข้างถูกหินตำฝ่าเท้า จึงอดพูดบ่นเสียงเบาๆ ไม่ได้ “หลายปีก่อนตอนพวกเรามาเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ลานเรือนเป็นหินศิลาเขียวชั้นดีมิใช่หรือ เหตุใดถึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้เล่า”
ผู้ดูแลเรือนเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มประจบ “คุณหนูใหญ่เป็นคนให้เปลี่ยนขอรับ นางไม่ได้เดินเหินเป็นเวลานาน ปูหินกรวดบนพื้นแล้วเดินบนนั้นช่วยนวดจุดชีพจรใต้ฝ่าเท้าได้พอดีขอรับ…”
คุณชายรองซูจิ่นกวนได้ยินก็เบ้ปาก หันไปเอ่ยกับซูกุยเยี่ยนยิ้มๆ “ในบรรดาลูกๆ อย่างพวกเรามีแต่พี่ลั่วอวิ๋นที่มีเงินใช้คล่องมือเพราะดูแลเงินทองของมารดาที่จากไปแทนท่าน แม้แต่จะเปลี่ยนหินกระเบื้องของเรือนหลังเก่าก็ไม่ต้องเบิกเงินกองกลาง…วันหลังท่านต้องตักเตือนพี่ลั่วอวิ๋นบ้างว่าเงินก้อนนั้นมีส่วนหนึ่งที่ท่านแม่ใหญ่ทิ้งไว้ให้ท่านเช่นกัน นี่เป็นเรื่องอะไรที่นางจะเอาไปใช้สุรุ่ยสุร่ายจนหมด”
‘ท่านแม่ใหญ่’ ที่ซูจิ่นกวนเรียกขานคือหูซื่อที่ด่วนจากไป นางเป็นบุตรสาวคนโตของสกุลหูพ่อค้าเครื่องหอมของซูโจว ในกาลก่อนกิจการเครื่องหอมของสกุลหูเคยรุ่งเรืองมากช่วงหนึ่ง ยามนั้นจึงจัดเตรียมสินเดิมเจ้าสาวให้บุตรสาวอย่างเต็มที่โดยไม่ตระหนี่ถี่เหนียว
ต่อมาเมื่อครั้งที่สกุลซูติดขัดเรื่องการเงิน หูซื่อยังเอาสินเดิมเจ้าสาวที่ติดตัวมาช่วยเหลือจุนเจือถึงครึ่งหนึ่ง
ภายหลังก่อนหูซื่อสิ้นลม นางมอบสินเดิมเจ้าสาวที่เหลืออยู่ไม่มากนักก้อนนั้นให้บุตรชายบุตรสาวทั้งหมด ทั้งยังขอให้ที่ว่าการออกหนังสือให้เป็นหลักฐานโดยเฉพาะ และได้เชิญผู้อาวุโสของสกุลซูรวมถึงคนสกุลหูมาตรวจนับตั๋วเงินกับที่นา นางพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าหลังจากตนเองจากไป ทิ้งให้บุตรสาววัยเยาว์กับบุตรชายที่ยังเป็นทารกแบเบาะเหลือกันอยู่แค่สองคน สินเดิมเจ้าสาวเหล่านี้จะเป็นที่พึ่งให้ทั้งคู่มีที่ยืนอยู่ในสกุลซูได้อย่างมั่นคง ดังนั้นห้ามมิให้ใครแตะต้องทรัพย์สินพวกนี้ โดยนางมอบหมายให้เถียนมามา* หญิงรับใช้ที่ติดตามนางออกเรือนมาเป็นผู้ดูแลแทนบุตรชายบุตรสาวชั่วคราว
พวกที่นาอุดมสมบูรณ์ล้วนให้ชาวนาที่คุ้นเคยกันเช่า ทุกปีเก็บเกี่ยวได้ผลดีทั้งในหน้าแล้งและหน้าฝน แม้ไม่นับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ แต่ก็เพียงพอให้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ หากบุตรทั้งสองคนของนางประสบเคราะห์ร้าย เช่นนั้นก็ขอให้ผู้อาวุโสทั้งสองตระกูลรับหน้าที่นำทรัพย์สินและที่นาเหล่านี้ไปบริจาคเติมน้ำมันตะเกียงให้แก่อารามทั้งหมด ถือเป็นการสั่งสมบุญกุศลไว้ให้บุตรชายบุตรสาวผู้ชะตาอาภัพของนางในชาติหน้า
คำกล่าวนี้ทำให้ซูหงเหมิงอับอายและกระอักกระอ่วนใจอย่างมาก คนภายนอกหาได้ล่วงรู้ไม่ว่าในตอนนั้นเขามีความสัมพันธ์ลับกับติงซื่อแล้ว เรื่องนี้สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่หูซื่อเหลือแสน เมื่อมีโรคภัยรุมเร้านางถึงได้จากไปอย่างกะทันหัน
ถ้อยคำนี้ของหูซื่อฟังดูแล้วเป็นคำสั่งเสียฝากฝังบุตรกำพร้าของตนก่อนที่จะล่วงลับไป แต่ก็แฝงความนัยทั้งทางตรงทางอ้อมว่าไม่เชื่อใจว่าที่ฮูหยินคนใหม่ของสกุลซู หวั่นเกรงอีกฝ่ายจะประสงค์ร้ายต่อบุตรชายบุตรสาวของตนเพื่อหวังครอบครองสมบัติ ถึงได้พูดจาเหลวไหลบอกให้นำเงินไปทำบุญทั้งหมด
ตามธรรมเนียมโบราณต้องให้ความเคารพต่อผู้ล่วงลับ เมื่อหูซื่อแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ นายท่านใหญ่สกุลซูก็ไม่อาจโต้แย้งได้ อีกทั้งสกุลซูกลับมาตั้งหลักได้นานแล้ว เขามีเงินทองมากมาย ไฉนเลยจะเห็นแก่สินเดิมเจ้าสาวอันน้อยนิดของภรรยาให้เสียศักดิ์ศรี นายท่านใหญ่สกุลซูจึงยกสินเดิมเจ้าสาวของภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วให้บุตรสองคนของนางตามความประสงค์
ส่วนเงินซ่อมแซมพื้นลานเรือนเล็กๆ น้อยๆ ก้อนนี้ สำหรับซูลั่วอวิ๋นแล้วไม่นับเป็นเรื่องเกินกำลังจริงๆ
กระนั้นพอซูหงเหมิงได้ยินคำพูดของบุตรชายคนรอง เขาก็ขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย
ซูลั่วอวิ๋นเป็นเด็กสาวที่มีนิสัยเป็นตัวของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ตอนอายุสิบสองปีนางพาเถียนมามาไปที่โรงนา เอาสมุดบัญชีค่าเช่าที่นาที่หูซื่อทิ้งไว้คืนมาแล้วกุมเงินทั้งหมดไว้ในมือตนเอง