บทที่ 7 กิเลส
หิมะแรกหลังย่างเข้าฤดูเหมันต์มาเยือนเมืองหลวง
หิมะแรกเล็กละเอียด จากนั้นก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้น ปกคลุมไปทั่ววังหลวงและกระท่อมฟาง โลกมนุษย์ถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
เมืองชั้นนอก เซี่ยหงเฉินเดินไปตามท้องถนน แม้สภาพอากาศจะเป็นเช่นนี้ แต่ยังคงมีพ่อค้ามาตั้งแผงขายของ เสื้อผ้าของเขาสะดุดตาเกินไป ท่วงทีกิริยาสูงส่งพ้นธุลี ดึงดูดสายตาของผู้คนบนถนนนับไม่ถ้วนให้หันมามอง
เขาหยุดข้างแผงลอยเล็กๆ แผงหนึ่ง พ่อค้าเห็นดังนั้นก็รีบเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “เซียนจ่างผู้นี้ชอบดอกเหมยนี้ใช่หรือไม่ขอรับ”
บนแผงลอยเล็กๆ มีกิ่งเหมยเรียงรายอยู่มากมาย
“เซียนจ่างซื้อไปสักกิ่งเถิด! ดอกเหมยนี้มีชื่อว่าเนี่ยนจวินอันมีความเป็นมาด้วยนะขอรับ!” พ่อค้าแผงลอยยังคิดจะร่ายต่อ แต่เซี่ยหงเฉินล้วงเงินออกมาแล้ว ซื้อเหมยเหมันต์ไปกิ่งหนึ่ง
เดิมทีกิ่งเหมยนั้นมีดอกตูม แต่พอถูกเกล็ดหิมะปกคลุม ดอกก็บานทั้งหมด ทั่วทั้งกิ่งเป็นบุปผาสีแดงดุจอัคคี งดงามล้ำเลิศ เซี่ยหงเฉินถือกิ่งเหมยไว้ในมือ ความจริงแล้วบุปผานี้ไม่ค่อยเข้ากับเขานัก เสื้อผ้าอาภรณ์ของเขาเรียบเกินไป เต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้เป็นเซียน ส่วนบุปผานี้สีสันฉูดฉาดเกินไป แดงก่ำดั่งโลหิต ดุจดังกิเลสเสี้ยวหนึ่งที่ปรากฏในเนื้อหาของพระคัมภีร์อันสูงส่ง
เวลาเดียวกัน กรมซือเทียน
ตี้อีชิวเข็นหวงหร่างออกจากกองพยัคฆ์ขาวกลับไปยังกองเสวียนอู่
ฤดูหนาวในเมืองหลวงหนาวเหน็บยิ่ง หวงหร่างเริ่มเลื่อมใสในความสามารถหยั่งรู้ล่วงหน้าของตี้อีชิว…หากมิใช่เพราะบนตักมีผ้าห่มผืนนี้คลุมอยู่ ตอนนี้นางคงหนาวจนทนไม่ไหวเป็นแน่ สองมือของนางถูกซุกไว้ใต้ผ้าห่ม ร่างกายคลุมด้วยชุดคลุมกันลมตัวหนา เหนือศีรษะมีคนกางร่มให้ จึงมิได้รู้สึกถึงความหนาวเหน็บของหิมะ
ผู้คนรอบด้านหลบไปข้างทางเป็นครั้งคราวและค้อมกายคารวะ ยามเผชิญหน้ากับการลอบมองของพวกเขาตี้อีชิวหาได้สนใจไม่ แม้แต่หวงหร่างเองก็ชินชาไปเสียแล้ว ไม่ไกลนักมีต้นเหมยแดงต้นหนึ่งบานสะพรั่งหลังถูกหิมะปกคลุม กลิ่นหอมรวยรื่น ทั้งยังงามละลานตา
หวงหร่างถูกสีแดงนั้นดึงดูด ดวงตาสองข้างที่ว่างเปล่าคล้ายมีเปลวเพลิงสองกองลุกโชนขึ้นมา ตี้อีชิวสังเกตเห็น เขาจึงเข็นนางไปใต้ต้นไม้พลางพูดขึ้น
“ดอกเหมยนี้มีชื่อว่าเนี่ยนจวินอัน ยังจำได้หรือไม่”
หวงหร่างเอาแต่จ้องดอกเหมยสีแดงสดดุจเปลวเพลิงนั้น เนี่ยนจวินอัน…
ตี้อีชิวยกมือขึ้นหักกิ่งเหมยออกมากิ่งหนึ่งแล้ววางลงบนตักนาง ดอกเหมยแดงดั่งโลหิตที่หลั่งริน
เนี่ยนจวินอัน…
รัชศกเฉิงหยวนปีที่ห้า หลังจากหวงหร่างกับเซี่ยหงเฉินร่วมอภิรมย์กันหนึ่งคืน เซี่ยหงเฉินจะกลับสำนักเซียนอวี้หู แม้เขาจะให้สัญญาว่าจะเลือกวันดีมาสู่ขอนางที่บ้าน แต่หวงหร่างไม่วางใจ…คำมั่นสัญญาของคนอื่นนางไม่เคยวางใจ หากเซี่ยหงเฉินจากไปแล้วไม่หวนคืนมา ตนมิใช่เสียเปรียบแย่หรือ
แต่ยามนั้นไม่สะดวกจะเหนี่ยวรั้งเขาไว้โดยที่เขาไม่เต็มใจ อีกทั้งเซี่ยหงเฉินหาใช่บุรุษหูเบาไม่
ดังนั้นก่อนจากกันหวงหร่างจึงหักกิ่งเหมยกิ่งหนึ่งมอบให้เขา
ดอกเหมยนี้นางปรับปรุงสายพันธุ์ขึ้นเอง ดอกผลิบานยามหิมะตก เดิมทีเป็นเพราะฤดูหนาวบุปผาน้อย นางต้องแต่งเรื่องที่น่าฟังเพื่อให้ฮูหยินและคุณหนูผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายยินดีจ่ายราคาแพงเพื่อซื้อของสิ่งนี้
แต่เวลานั้นเพื่อให้เซี่ยหงเฉินเห็นบุปผาแล้วคิดถึงนาง นางจึงตั้งชื่อนี้ให้มันโดยเอ่ยกับเขาว่า ‘หงเฉินจากไปครานี้ไม่รู้ว่ายังมีวันได้พบกันอีกหรือไม่ บุปผานี้จะผลิบานยามต้องหิมะ ข้าจึงตั้งชื่อให้มันว่า ‘เนี่ยนจวินอัน’ นับแต่นี้ไปไม่ว่าสุดหล้าฟ้าเขียว ทุกทิวาราตรี ยามบุปผาผลิบาน ขอให้ท่านสุขสมบูรณ์’
เซี่ยหงเฉินรับกิ่งบุปผาไปและทำตามคำมั่นสัญญา นำกิ่งเหมยนั้นมาสู่ขอนางเมื่อหิมะแรกโปรยปรายลงมา เพียงแต่ในวันนั้นหว่างคิ้วเขามิได้มีความรู้สึกอ่อนโยนละมุนละไมสักเท่าไร
…เขารู้ว่าตนเองต้องการสิ่งใดและรู้ว่าหวงหร่างต้องการสิ่งใด
หวงหร่างต้องการลาภยศและฐานะของฮูหยินประมุขสำนัก เขามอบให้นางแล้ว ส่วนเขาหลงใหลในความเย้ายวนรัญจวนจิตของนาง หวงหร่างเองก็มิได้ตระหนี่ ตลอดร้อยกว่าปียังคงเป็นเช่นวันแรก
ช่างน่าขันอย่างยิ่ง ภายหลังชายหญิงในใต้หล้ากลับเอาบุปผานี้มาเป็นสัญญาแทนใจ
หวงหร่างจ้องมองเหมยแดงเต็มต้นอย่างเหม่อลอย ตี้อีชิวยืนอยู่ใต้ต้นไม้ชมบุปผากับนาง