บทที่ 2
วันเทศกาลซั่งซื่ออากาศดีจริงๆ
ตื่นมาตอนเช้า ท้องฟ้าไกลออกไปปรากฏสีขาวท้องปลาอย่างอ่อนโยนแล้ว ย้อมแสงสีม่วงจางๆ อากาศสดชื่นแจ่มใส ต้นหลิวระย้าแตกหน่ออ่อนมากมาย
ซย่าโหวโหย่วเต้านั่งเกี้ยวมา เขาสวมเสื้อแขนกว้างลายเรียบสีฟ้านวล ใช้ผ้าโพกศีรษะสีเดียวกัน มือถือคทาหยก คลุมกายด้วยเสื้อหนังกวางอีกชั้น ดวงตาเปล่งประกาย ใบหน้าแดงเรื่อ เหมือนเด็กที่กำลังจะออกไปท่องเที่ยวคนหนึ่ง หว่างคิ้วฉายความตื่นเต้นและร่าเริงเบิกบานอยู่หลายส่วน
“พี่สาว!” เขาวิ่งตรงเข้ามาในตำหนักบรรทมของซย่าโหวอวี๋ “ท่านยังแต่งตัวไม่เสร็จอีกหรือ”
ซย่าโหวอวี๋นั่งคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เรือนผมดำขลับเงางามทิ้งตัวอยู่ด้านหลัง อาเหลียงกับนางกำนัลสองสามคนล้อมรอบนาง กำลังเกล้ามวยให้นางอย่างคล่องแคล่ว
ซย่าโหวโหย่วเต้านั่งลงข้างกายซย่าโหวอวี๋ เลือกดอกไม้ลูกปัดอันหนึ่งจากกล่องเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะและพูดกับซย่าโหวอวี๋ “พี่สาว ประเดี๋ยวท่านประดับดอกไม้ลูกปัดอันนี้นะ ดอกไม้ลูกปัดอันนี้งดงาม”
เขาเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับขุนนางมากอำนาจอย่างหลูยวน กลับไม่สนใจว่าวันนี้หลูยวนจะทำอะไรบ้าง ไม่คิดว่าจะรับมือกับหลูยวนเช่นไร แต่กลับเสนอแนะนางว่าควรสวมเครื่องประดับชิ้นใด
ซย่าโหวอวี๋มองดวงตาใสกระจ่างของซย่าโหวโหย่วเต้าที่วาวระยับด้วยความยินดี นางหวนคิดถึงชาติก่อน น้องชายก็วิ่งมานั่งข้างๆ นางและพูดเช่นนี้เหมือนกัน แต่หลังจากถูกนางตำหนิไปคำรบหนึ่งก็ก้มหน้าคอตกราวถูกสาดด้วยน้ำเย็น จนกระทั่งถึงเขาจงซานแล้ว สายตาที่เขามองนางยังเจือความขลาดกลัวอยู่หลายส่วน ครั้นคิดถึงโชคชะตาของเขาเมื่อชาติที่แล้ว ต่อให้มีคำตำหนิมากมายเพียงใดนางก็มิอาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้
“ข้าเชื่อเจ้าแล้วกัน!” นางยิ้มให้ซย่าโหวโหย่วเต้า พยายามทำให้เสียงตนเองให้ดูนุ่มนวล น้ำเสียงอ่อนโยน
ซย่าโหวโหย่วเต้าดีอกดีใจยิ่ง เขายิ้มตาหยีเหมือนเด็กน้อยที่ไร้ห่วงไร้กังวลคนหนึ่ง
ซย่าโหวอวี๋หัวใจสั่นสะท้าน ตั้งแต่เหวินเซวียนฮองเฮาจากไป นางก็ไม่เคยเห็นน้องชายดีใจขนาดนี้มาก่อน เมื่อครู่นางแค่คล้อยตามคำพูดเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าปกติแล้วเขาใช้ชีวิตอย่างกดดันเพียงใด ซย่าโหวอวี๋เจ็บแปลบในใจ
ซย่าโหวอวี๋ยิ้มถามซย่าโหวโหย่วเต้า “เจ้ากินอาหารเช้ามาหรือยัง แม้จะย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ตอนเช้าอากาศยังหนาวเย็นเล็กน้อย เจ้ามาที่นี่แต่เช้าตรู่ทำไมกัน”
ซย่าโหวโหย่วเต้ายิ้มร่า สีหน้าไร้เดียงสากว่าเดิม “ข้าอยากกินอาหารกับพี่สาว อีกอย่าง ข้าสวมเสื้อหนังสัตว์แล้ว ไม่หนาวหรอก”
ซย่าโหวอวี๋สั่งให้ข้ารับใช้เตรียมสำรับอาหารเช้าและหันไปพูดกับซย่าโหวโหย่วเต้า “เจ้าออกมาโดยมีเสื้อหนังสัตว์แค่ตัวเดียวหรือ”
“ใช่!” ซย่าโหวโหย่วเต้ามองนางอย่างงุนงง
ซย่าโหวอวี๋สั่งเถียนเฉวียนขันทีของซย่าโหวโหย่วเต้า “ไปเอาเสื้อบุซับในแบบบางมาให้โอรสสวรรค์ ตอนกลางวันอากาศจะค่อนข้างร้อน ถึงยามนั้นค่อยให้โอรสสวรรค์เปลี่ยนจากเสื้อหนังสัตว์มาสวมเสื้อบุซับในแบบบาง”
เถียนเฉวียนอมยิ้มรับคำ เขาก็เป็นเช่นเดียวกับตู้ฮุ่ย แต่ก่อนเขาปรนนิบัติเหวินเซวียนฮองเฮา พอเหวินเซวียนฮองเฮาป่วยตาย เขาก็เริ่มมารับใช้ซย่าโหวอวี๋พี่น้อง เมื่อซย่าโหวโหย่วเต้าสืบทอดบัลลังก์ เขาจึงปรนนิบัติรับใช้อยู่ที่ตำหนักทิงเจิ้ง กลายเป็นขันทีประจำตัวของซย่าโหวโหย่วเต้า
ซย่าโหวโหย่วเต้าฟังแล้วร่าเริงยิ่งกว่าเดิม สองปีมานี้น้อยครั้งที่พี่สาวจะยิ้มแย้มกับเขาเช่นนี้ ทุกครั้งเวลาพบกันล้วนบอกให้เขาระวังวาจาและการกระทำ แม้เขาจะรู้ว่าพี่สาวสั่งสอนได้ถูกต้อง แต่มากน้อยย่อมรู้สึกไม่มีความสุขอยู่บ้าง ยามนี้จู่ๆ พี่สาวก็เปลี่ยนท่าทีเป็นอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนสมัยที่เขายังไม่ขึ้นครองราชย์ จิตใจของเขาที่ตึงเครียดเล็กน้อยจึงผ่อนคลายได้ทั้งหมด และอ้อนพี่สาวเหมือนกับสมัยที่ยังเป็นเด็ก “พี่สาว ข้าไม่อยากกินโจ๊ก ข้าจะกินขนมแป้งย่าง!”
ซย่าโหวโหย่วเต้าร่างกายอ่อนแอ ต้องระวังเรื่องอาหารการกิน อาหารปิ้งย่างอย่างขนมแป้งย่างมิอาจกินมากได้ เพราะเหตุนี้เขาจึงชอบกินมากเป็นพิเศษ ตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็อยากกินของพวกนี้แล้ว
การใช้ชีวิตอย่างสันโดษตลอดสิบปีทำให้ซย่าโหวอวี๋หวงแหนความสุขมากยิ่งขึ้น ทั้งยังนึกอาลัยในรอยยิ้มเจิดจ้าของน้องชาย ขบคิดดูแล้ว นางจึงประนีประนอมและเป็นฝ่ายถอย “ให้กินชิ้นเล็กแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น”
ซย่าโหวโหย่วเต้าโห่ร้องด้วยความยินดี เหมือนได้รับของแปลกประหลาดล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้น ซย่าโหวอวี๋หัวเราะตาม รู้สึกดีกับการเปลี่ยนแปลงของตนเอง
สองพี่น้องกินอาหารเช้าอย่างเบิกบาน ก่อนจะนั่งเกี้ยวตามกันไปยังอุทยานหวาหลินสถานที่จัดงานเลี้ยง