ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อริร้ายหวนรัก บทที่ 2
รอจนซย่าโหวโหย่วเต้าทักทายขุนนางเสร็จ สตรีทั้งหลายก็นั่งลงตามตำแหน่ง
โต๊ะที่เหลือไว้ให้หลูยวนกับฟั่นซื่อว่างเปล่า ดูสะดุดตาอย่างยิ่ง
สีหน้าของซย่าโหวโหย่วเต้ากับอู่หลิงอ๋องย่ำแย่เล็กน้อย มีเพียงซย่าโหวอวี๋ที่เห็นแล้วไม่รู้สึกอะไร เพราะนางไม่ได้ต้องการเอาชนะคะคานเพื่อหน้าตา แต่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ที่แท้จริงมากกว่า ประกอบกับนางมีประสบการณ์จากชาติก่อนมาแล้ว
นางส่งสัญญาณให้เถียนเฉวียนขันทีของซย่าโหวโหย่วเต้าไปปลอบประโลมซย่าโหวโหย่วเต้า ส่วนตนเองก็ยกถ้วยแก้วที่บรรจุนมหมัก* ขึ้นมา พลางเอ่ยเสียงเรียบ “วันนี้เป็นวันเทศกาลซั่งซื่อ เดิมทีควรอาบน้ำปัดเป่าเคราะห์ภัย ดื่มสุราขจัดอัปมงคล เพียงแต่โอรสสวรรค์อยากท่องเที่ยวไปกับเหล่าขุนนาง ติดที่อากาศแปรปรวน เกรงว่าจะก่อให้เกิดปัญหาโดยใช่เหตุ จึงจัดงานเลี้ยงขึ้นที่สระไท่เยี่ย ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี สนุกสนานให้เต็มที่” พูดจบนางก็ยกมือขึ้น
หลิ่วซื่อ ชุยซื่อที่สนิทสนมกับซย่าโหวอวี๋พี่น้องลุกขึ้นอย่างนอบน้อม รับคำพร้อมกับดื่มนมหมักจนหมดถ้วย คนบางส่วนที่ใกล้ชิดกับสกุลหลูกลับทำเป็นไม่ได้ยิน นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับ ทั้งยังมีขุนนางบางคนเอ่ยว่า “แม่ทัพใหญ่ยังไม่มา ทำเช่นนี้ออกจะไม่เคารพกันหรือไม่ ควรรอแม่ทัพใหญ่ก่อน”
ซย่าโหวโหย่วเต้ากับอู่หลิงอ๋องใบหน้าฉายแววโทสะ
ซย่าโหวอวี๋กลับชิงพูดตัดหน้าพวกเขา “เรื่องนี้เดิมทีเป็นเรื่องที่หารือกันในการประชุมขุนนางเมื่อวานแล้ว เช้าวันนี้แม่ทัพใหญ่ไม่ได้ส่งคนมาบอกว่ามาร่วมงานด้วยไม่ได้ คิดว่าคงมีเรื่องอะไรทำให้ล่าช้าเป็นแน่ ฤดูวสันต์กลางวันสั้น หากพวกเรายังรอต่อไป เกรงว่าคงได้แต่ชมเมฆยามเย็นเสียแล้ว! พวกเราไม่รอแล้วดีกว่า”
ทางฝ่ายสตรียังดี แต่เหล่าขุนนางที่นั่งถัดจากอู่หลิงอ๋องไป ฟังแล้วกลับมุ่นคิ้วไม่พูดจา บางคนกระซิบกระซาบกัน ริมสระไท่เยี่ยที่เดิมทีสงบเงียบจึงเกิดเสียงดังจอแจทันที
ซย่าโหวอวี๋โกรธเกรี้ยวยิ่ง แต่นางกลับข่มอารมณ์เอาไว้ แล้วเลื่อนสายตาไปยังข้าหลวงส่วนพระองค์ พูดกึ่งล้อเล่นกึ่งตักเตือน “หรือว่าท่านข้าหลวงของพวกเราไม่ได้พูดให้ชัดเจน แม่ทัพใหญ่จึงไม่รู้เวลาของงานเลี้ยงในวันนี้”
หลูยวนแต่งตั้งตนเองเป็นลู่ซั่งซูซื่อ ปกครองดูแลงานในสำนักราชเลขา ซย่าโหวโหย่วเต้าถูกอำนาจของหลูยวนบีบบังคับ แต่ด้วยไม่อยากยอมรับ เขาจึงปิดหูขโมยกระดิ่งไม่ออกราชโองการแต่งตั้งและไม่ยอมรับด้วยวาจา แต่ความจริงหลังจากแต่งตั้งตนเองแล้ว หลูยวนก็เริ่มกุมอำนาจด้านการปกครองและการทหารไว้ในมือ การแต่งตั้งและการถอดถอนขุนนางมิอาจกระทำได้หากเขาไม่เห็นชอบ ข้าหลวงส่วนพระองค์เป็นขุนนางที่รับใช้โอรสสวรรค์อย่างใกล้ชิด มีหน้าที่รับผิดชอบถ่ายทอดรับสั่ง แม้ตำแหน่งจะไม่สูงแต่กลับมีความสำคัญอย่างมาก แน่นอนว่าย่อมเป็นคนของหลูยวน นางพูดเช่นนี้ก็แค่ชี้กวางเป็นม้า เท่านั้น…หากหลูยวนไม่พอใจ นางจะผลักความรับผิดชอบไปที่ข้าหลวงส่วนพระองค์ผู้นี้
ข้าหลวงส่วนพระองค์ผู้นี้รู้ เหล่าขุนนางก็รู้ แต่กลับไม่มีผู้ใดโต้แย้งได้ หากแย้งว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าหลวงส่วนพระองค์ ก็เท่ากับบอกว่าหลูยวนจงใจมาสาย หากแย้งว่าหลูยวนติดธุระทำให้ล่าช้า ย่อมแสดงว่าหลูยวนไม่เคารพโอรสสวรรค์
ขุนนางใหญ่หลายคนขบคิดเข้าใจแล้ว ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่อากาศหนาวเย็น ปลายจมูกกลับมีเหงื่อเย็นซึมออกมา พวกเขาตระหนักอย่างลึกซึ้งแล้วว่าอะไรคือ ‘ประตูเมืองไฟไหม้ ปลาในคูพลอยเดือดร้อน’ แต่กลับอดคิดไม่ได้ว่าจิ้นหลิงจ่างกงจู่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร
ข้าหลวงส่วนพระองค์ผู้นั้นย่อมเข้าใจความรู้สึกนี้ดีเป็นพิเศษ ซย่าโหวอวี๋อายุยังน้อย รอยยิ้มอ่อนโยนก็จริง แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยประกายเยียบเย็นราวกับดาบกระบี่ที่ถูกชักออกจากฝัก หากคำตอบของเขาไม่อาจทำให้นางพอใจ นางคงทำให้เขาเลือดพุ่งไปสามฉื่อ ได้ในชั่วพริบตา
เขาเคยรับใช้ข้างกายซย่าโหวโหย่วเต้าไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ซย่าโหวอวี๋สงบเสงี่ยมเรียบร้อย แม้จะแข็งแกร่งกว่าสตรีในห้องหับทั่วไป แต่ก็ไม่เหมือนวันนี้ที่ดูดุร้ายยิ่งกว่าบุรุษ เป็นเพราะแต่ก่อนเขามองคนผิด หรือว่าจ่างกงจู่ตั้งใจจะแตกหักกับแม่ทัพใหญ่กันแน่
นี่แสดงว่ากำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นแล้วกระมัง
เหตุใดเขาถึงได้เคราะห์ร้ายถึงเพียงนี้ มายืนอยู่ในสถานการณ์อันตรายในเวลานี้ เกรงว่าถึงเวลาแล้วตายอย่างไรยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ! ข้าหลวงส่วนพระองค์หนาวเยือกที่แผ่นหลัง
“กระหม่อม กระหม่อม…” สมองของข้าหลวงส่วนพระองค์ทำงานอย่างรวดเร็ว พยายามคิดหาหนทางรับมือ ข้างหูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าสับสนปนมากับเสียงแหลมสูงเจือแววยินดีของขันที
“โอรสสวรรค์ จ่างกงจู่ แม่ทัพใหญ่มาถึงแล้วทั้งครอบครัวพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนโล่งอก บรรยากาศภายในงานผ่อนคลายลง
ซย่าโหวอวี๋เห็นหลูยวน หลูไหวสองพี่น้องเดินเคียงไหล่กันเข้ามา ห่างไปไม่กี่ก้าวก็เป็นฟั่นซื่อเดินนำบุตรชายสองคนของนางกับหลูยวน
เหมือนเมื่อชาติที่แล้ว!
ซย่าโหวโหย่วเต้าเบิกตาโต ซย่าโหวอวี๋ขึงตาปรามน้องชาย ก่อนจะนั่งรอสองพี่น้องสกุลหลูเข้ามาคารวะอย่างเคร่งขรึม
หลูยวนรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคาย หนวดเคราใต้คางตัดเล็มอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เขาสวมชุดคลุมแขนกว้างลายเมฆมงคลสีฟ้านวล แม้อายุจะเกินสี่สิบแล้ว แต่เรือนร่างยังคงเหยียดตรง เขาก้าวเข้ามาอย่างมั่นใจด้วยท่วงท่าผึ่งผาย มองจากไกลๆ ดูเหมือนคนอายุราวสามสิบปีเท่านั้น เป็นหนึ่งในบุรุษรูปงามที่มีชื่อเสียงแห่งยุค