พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปสิบวัน อากาศอบอุ่นขึ้นโดยสมบูรณ์ ต้นไม้ใบหญ้าในอุทยานเจริญงอกงาม ดูละลานตาเหมือนผ้าทอลาย ยามทอดสายตามองออกไปก็ดูงดงามสดใสประหนึ่งฤดูร้อน
พวกตู้ฮุ่ยล้วนเอ่ยชมว่าปีนี้ดอกไม้บานสะพรั่ง ซย่าโหวอวี๋กลับรู้สึกว่าเมื่อบานอย่างเต็มที่แล้วย่อมต้องร่วงโรย ดอกไม้พวกนี้ออกจะบานเร็วไปสักหน่อย
โชคดีที่ไม่ว่าหลูยวนหรือฟั่นซื่อต่างก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ กลับเป็นสกุลชุยที่ร้อนใจเล็กน้อย ให้คุณหนูเจ็ดสกุลชุยตามชุยซื่อเข้าวังมาถวายบังคมซย่าโหวอวี๋หนหนึ่ง ซย่าโหวอวี๋ปลอบโยนชุยซื่ออย่างดี ชุยซื่อจึงพาคุณหนูเจ็ดสกุลชุยที่ขัดเขินจนหน้าแดงออกจากวังไป
ซย่าโหวโหย่วเต้าเลิกประชุมแล้วไม่เห็นคนก็อดผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้ เขาอึกอักถามถึงคุณหนูเจ็ด ซย่าโหวอวี๋เห็นแล้วทั้งฉุนทั้งขำ ถามเขาว่ารู้ได้อย่างไรว่าคุณหนูเจ็ดเข้าวังมา ซย่าโหวโหย่วเต้าอ้ำอึ้งอยู่นานก็ตอบไม่ถูก พอถูกซย่าโหวอวี๋หยอกเย้าเข้าหน่อยเขาก็เขินอายจนวิ่งออกจากตำหนักเฟิ่งหยางไปอย่างลนลาน
ซย่าโหวอวี๋ขมวดคิ้วไม่เลิก จะต้องมีคนเอาข่าวไปบอกซย่าโหวโหย่วเต้าเป็นแน่ ตำหนักเฟิ่งหยางมีคนไม่มาก ทั้งยังมีแต่คนที่เคยปรนนิบัติเหวินเซวียนฮองเฮามาก่อน มีความจงรักภักดีและมีระเบียบวินัยพอ แต่ทางตำหนักทิงเจิ้งกลับมีหูตาของหลูยวนมากเกินไป
ชาติก่อนเป็นเพราะหลูยวนรู้ว่าซย่าโหวโหย่วเต้ากับนางพึงใจในตัวคุณหนูเจ็ดสกุลชุย หลังจากเซียวหวนใช้แผนล่อลวงตบตาทำให้ศัตรูเข้าใจผิด สนับสนุนซย่าโหวโหย่วฝูที่เกิดจากเฝิงซื่อขึ้นครองราชย์แล้ว หลูยวนจึงพาลโมโหบีบให้คุณหนูเจ็ดสกุลชุยออกบวช ในช่วงที่สงครามระหว่างนางกับหลูยวนยังไม่ตัดสินแพ้ชนะ เรื่องนี้จะต้องสืบให้แน่ชัดเสียก่อน
ซย่าโหวอวี๋สั่งตู้ฮุ่ยเสียงค่อยให้ไปตรวจสอบเรื่องนี้ ส่วนตนเองก็เรียกอาเหลียงมาตรงหน้า ถามนางว่ายินดีออกจากวังพร้อมตน และเป็นข้ารับใช้ประจำตัวของตนหรือไม่
หมู่นี้ซย่าโหวอวี๋ปฏิบัติต่ออาเหลียงแปลกออกไป ในใจอาเหลียงรู้สึกได้ถึงบางอย่างเช่นกัน ตอนที่ซย่าโหวอวี๋เอ่ยถามนางนั้น นางยังคงตกใจระคนดีใจ รีบคุกเข่าโขกศีรษะขอบคุณ แสดงออกว่าเต็มใจอย่างยิ่งที่จะเป็นข้ารับใช้ประจำตัวของซย่าโหวอวี๋
ซย่าโหวอวี๋พอใจอย่างมาก บอกนางว่าประเดี๋ยวให้ไปหาตู้ฮุ่ยเพื่อลบชื่อออกจากทะเบียนวัง
อาเหลียงดีอกดีใจ ขอบพระทัยครั้งแล้วครั้งเล่า
ซย่าโหวอวี๋ยิ้มน้อยๆ นางรู้สึกมั่นใจเพราะได้แก้ไขสถานการณ์และได้กุมอนาคตเอาไว้ในกำมือตนเอง
กลางคืนเวลายาวนาน เป็นครั้งแรกที่ซย่าโหวอวี๋ไม่ได้ฝันถึงเซียวหวน ไม่ได้ฝันถึงอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินโคลนนั่นซึ่งทำให้คนหายใจไม่ออกแต่กลับรู้สึกอบอุ่น ทว่านางยังคงตื่นขึ้นมากลางดึก เพียงแต่นางไม่ได้ถูกฝันร้ายรบกวนจนตื่น แต่ถูกเขย่าตัวปลุกให้ตื่น
“จ่างกงจู่! จ่างกงจู่!”
นางลืมตา มองเห็นใบหน้าของตู้ฮุ่ยที่ค่อยๆ ดูใหญ่ขึ้น บางทีอาจเพราะอยู่ใกล้เกินไป ดวงตาและจมูกของตู้ฮุ่ยจึงดูไม่เหมือนในยามปกตินัก
“มีอะไรหรือ” ซย่าโหวอวี๋เอ่ยถามอย่างงัวเงีย
ใบหน้าขาวกระจ่างของตู้ฮุ่ยมีเหงื่อผุดออกมา นางพูด “จ่างกงจู่ โอรสสวรรค์ โอรสสวรรค์…ทรงหมดสติไปกะทันหันเพคะ”
ซย่าโหวอวี๋กอดผ้าห่มลุกขึ้นนั่งในทันที นางรู้สึกคล้ายตนเองกำลังฝันไป นานครู่ใหญ่ที่มิอาจตอบสนองได้
ตู้ฮุ่ยจึงสะกิดซย่าโหวอวี๋ทั้งน้ำตาเบาๆ อีกครั้ง “จ่างกงจู่ ตำหนักทิงเจิ้งวุ่นวายไปหมดแล้ว ท่านรีบไปดูเถิดเพคะ!”
ซย่าโหวอวี๋ถึงได้สติ หัวใจนางเหมือนถูกกดทับด้วยหินก้อนใหญ่ แต่หัวใจดวงนั้นกลับไม่ยอมพ่ายแพ้ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ออกแรงดิ้นรนขึ้นมาอีก ทำท่าเหมือนจะกระโดดออกจากโพรงอกนาง
ซย่าโหวอวี๋ถูกตู้ฮุ่ยประคองลุกขึ้นอย่างมึนงง นางสวมเสื้อผ้าและมุ่งหน้าไปยังตำหนักทิงเจิ้งโดยมีข้ารับใช้ห้อมล้อม ลมกลางคืนพัดปะทะตัวนาง นางหนาวสะท้าน หัวสมองค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น
นางขบคิดทุกวิถีทางเพื่อชีวิตน้องชายของนางแล้ว เดิมทีเขาไม่เป็นไรแล้วมิใช่หรือ ไฉนจึงหมดสติไม่รู้เรื่องได้เล่า