ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 234-235
ทว่าคุณหนูสามสกุลเฉินผู้นี้กลับผิดแผกแตกต่างจากสตรีสูงศักดิ์ที่นางเคยรู้จักก่อนหน้านี้
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หมิงซินก็ย่อกายแสดงคารวะ “คุณหนูจิตใจกว้างขวาง ผู้น้อยนับถือด้วยใจ”
เฉินอิ๋งยิ้ม จัดการกินผลไม้ที่ถืออยู่ในมือเป็นนานลงท้อง
หมิงซินยืนก้มหน้าอยู่กับที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด
เฉินอิ๋งมองดูนางอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ในใจก็มีคำถามโผล่ขึ้นมาข้อหนึ่ง
พูดคุยกันอยู่เป็นนาน ตกลงหมิงซินผู้นี้มีความเป็นมาเช่นไรกันแน่ เรื่องนี้ชวนให้คนรู้สึกกระหายใคร่รู้ยิ่ง
จากคำพูดคำจากิริยาท่วงท่าของนาง นางน่าจะไม่ได้อยู่ในครอบครัวชาวบ้านธรรมดาๆ คนธรรมดาทั่วไปไหนเลยจะอบรมเลี้ยงดูสตรีให้คลั่งไคล้การบ้านการเมืองเยี่ยงนี้ได้
หรือว่าบรรพบุรุษของนางจะเป็นขุนนางชั้นสูง?
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเฉินอิ๋งก็เอ่ยปากถาม “ข้าพอจะถามเรื่องฐานะชาติกำเนิดของแม่นางหมิงซินได้หรือไม่”
คำถามนี้ยังคงเกิดขึ้นเพียงเพราะความกระหายใคร่รู้ของนาง
อันที่จริงมิสู้บอกว่าเฉินอิ๋งก็เหมือนอย่างที่เผยซู่กับเยี่ยชิงบอก เป็นคนที่ ‘ชอบถามคำถามยิ่งนัก’
ครั้นได้ยินเช่นนั้นหมิงซินก็เงยหน้าขึ้นแล้วจ้องเฉินอิ๋งเขม็ง
สีหน้าของนางจู่ๆ ก็พลันแปลกประหลาด ทั้งคล้ายหยิ่งยโสทั้งคล้ายหวาดประหวั่น อีกทั้งยังแฝงไว้ซึ่งความเจ็บปวดแค้นเคืองอยู่จางๆ
“ที่แท้คุณหนูสามก็ยังไม่ทราบ” นางเอ่ยปาก อารมณ์ซับซ้อนสับสนบนใบหน้าจางหายไปพร้อมกับเสียงพูด เหลือไว้ก็แต่สีหน้าเฉื่อยเนือย “บรรพบุรุษของผู้น้อยเคยอุทิศตนรับใช้อ๋องกบฏ”
แม้จะมีลางสังหรณ์อยู่ก่อนหน้าแล้ว แต่ถึงกระนั้นคำตอบของนางก็ยังคงทำเฉินอิ๋งตะลึง
อ๋องกบฏ?
นับแต่ฮ่องเต้หยวนจยาขึ้นครองราชย์ อ๋องกบฏก็มีอยู่ด้วยกันนับไม่ถ้วน แล้วอ๋องกบฏที่หมิงซินพูดถึงคือผู้ใด
หรือว่า…
“คือ…คังอ๋อง?” หลังจากเงียบไปชั่วระยะหนึ่ง เฉินอิ๋งก็ลองเอ่ยปากถาม
“คุณหนูสามปราดเปรื่องยิ่งนัก” หมิงซินยิ้มขื่นออกมาคราหนึ่ง ขณะกำลังพูดเงาร่างเหยียดตรงจู่ๆ ก็ค้อมโก่งลงมาอย่างน่าประหลาด
“บิดาของผู้น้อยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของอ๋องกบฏ หลังอ๋องกบฏถูกประหาร บิดาของผู้น้อยก็ตายตกตามกัน ด้วยเพราะฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมีพระมหากรุณา พระองค์จึงไม่ทรงเอาผิดพวกผู้น้อยทั้งตระกูล ดังนั้นพวกผู้น้อยจึงยังมีชีวิตอยู่ แต่เพราะผู้น้อยชะตาอาภัพ มารดาอำลาจากโลกนี้ไปนานแล้ว ญาติมิตรก็ไม่ยินดีอุปถัมภ์ค้ำชู จึงขายผู้น้อยออกมา”
ได้ยินเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็อดนึกเสียใจไม่ได้
หมิงซินก็คือเครื่องสังเวยของการต่อสู้ทางการเมือง น่าเห็นใจยิ่งนัก
“คุณหนูสามสบายใจได้ ที่มาของผู้น้อยนี้นายหญิงรู้สิ้นแล้ว ใต้เท้าเหอเองก็ทราบ ผู้น้อยเองก็ยินดีบอกกับท่าน” สาวใช้ฉลาดเฉลียวผู้นี้แค่ดูเพียงปราดเดียวก็อ่านความคิดของเฉินอิ๋งได้แล้ว ประสาทสัมผัสนับว่าเฉียบคมยิ่งนัก น้ำเสียงนางในยามนี้ฟังดูจริงใจอย่างยิ่งยวด
เฉินอิ๋งยิ้มให้กับอีกฝ่าย ไม่พูดอันใดต่อ
ทว่าหมิงซินกลับคล้ายไม่มีอันใดพะวักพะวน นางยิ้มกล่าวต่อ “เรียนคุณหนูสาม ยามเด็กผู้น้อยหน้าตานับว่าไม่เลว ท่านพ่อของผู้น้อยเคยคิดจะยกผู้น้อยให้อ๋องกบฏ ตอนผู้น้อยอายุสิบขวบเคยติดตามท่านพ่อไปฉลองวันเกิดอ๋องกบฏที่จวน อ๋องกบฏเคยชมผู้น้อยว่า ‘ทั้งสวยทั้งฉลาด’ อีกทั้งยังประทานชื่อเล่นให้ผู้น้อยว่า ‘ซุ่นชิง’ ”
พอพูดถึงตรงนี้จู่ๆ สีหน้าของนางก็เหม่อลอย คล้ายย้อนกลับไปอยู่ยังจวนอ๋องอันงดงามโด่งดังเปี่ยมอำนาจบารมีในยามนั้น เป็นที่ชื่นชมของเหล่าชนชั้นสูง ทุกคนต่างนึกอิจฉา
นางนิ่งเงียบไม่บอกเล่าถึงเรื่องราวเก่าก่อนราวกับจมดิ่งอยู่ในห้วงคิดคำนึง เฉินอิ๋งจึงเอ่ยปากถามหยั่งเชิง “ที่เจ้าเข้าใจเรื่องการบ้านการเมืองนั่นก็ด้วยเพราะวิชาความรู้ที่สืบทอดต่อกันมาของครอบครัว?”
“คุณหนูสามทายถูกอีกแล้ว” หมิงซินยิ้มอย่างไม่อินังขังขอบ ใบหน้าร้างไร้ความรู้สึกรันทดใจใดๆ “ยามเด็กเพราะผู้น้อยความจำเป็นเลิศ ท่านพ่อจึงโปรดปรานผู้น้อยยิ่ง มักลงมือสอนสั่งผู้น้อยด้วยตนเอง ยามท่านพ่อกับเหล่าขุนนางพูดคุยปรึกษางานราชการกัน ท่านพ่อก็มักเรียกผู้น้อยไปนั่งฟังอยู่ข้างๆ ท่านพ่อเคยบอกผู้น้อยว่าคนที่ใช้ความงามรับใช้ผู้อื่น เมื่อความงามร่วงโรยความรักที่ได้มาก็ย่อมโรยราจากไป ถึงยามนั้นสายสัมพันธ์อันใดย่อมขาดสะบั้น คนเราหากกระทำการใดโดยอาศัยเพียงรูปโฉมหน้าตา ความสำเร็จนั้นย่อมไม่มีวันยืนยง ดังนั้นไม่ว่าเช่นไรก็ต้องร่ำเรียนเขียนอ่านให้กระจ่างแจ้ง คิดอ่านกว้างไกล ช่วยเหลือผู้เป็นสามีให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย เพราะจดจำคำสอนนั้นใส่ใจ ผู้น้อยจึงขยันหมั่นเพียร ค่อยๆ ทำความเข้าใจงานราชการเหล่านั้น”
เมื่อพูดถึงตรงนี้จู่ๆ นางก็คล้ายได้สติ หมิงซินปิดหน้าหัวเราะกล่าว “อา ผู้น้อยกล่าววาจาเหลวไหลอะไรกัน ไม่รู้จักอะไรสูงอะไรต่ำเอาเสียเลย ถึงกับกล้าอวดตัวต่อหน้าคุณหนูสามผู้ชาญฉลาดเยี่ยงนี้ หน้าไม่อายจริงๆ ขอท่านได้โปรดให้อภัยด้วย ผู้น้อยก็แค่กล่าววาจาเหลวไหลเท่านั้น ขอท่านอย่าได้ถือเป็นจริงเป็นจัง”
* มาจากสำนวนเต็มว่า ‘นกดีเลือกคาคบเกาะอาศัย ขุนนางดีเลือกเจ้านายที่ติดตาม’ หมายถึงการเลือกสิ่งที่ดี มั่นคง และเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง
** ‘ข้าไม่ได้ฆ่าป๋อเหริน แต่ป๋อเหรินตายเพราะข้า’ เป็นสำนวน หมายถึงตนเองเป็นต้นเหตุให้คนอื่นต้องเดือดร้อน มีที่มาจากสมัยราชวงศ์จิ้น ป๋อเหรินได้แอบช่วยหวังเต่าผู้เป็นสหายอย่างลับๆ กราบทูลไม่ให้จักรพรรดิหยวนตี้ประหารคนสกุลหวังในฐานะกบฏ ต่อมาเมื่อหวังตุนญาติผู้พี่ของหวังเต่ากบฏสำเร็จได้ถามหวังเต่าว่าควรจัดการป๋อเหรินเช่นไร หวังเต่านิ่งเฉยเพราะคิดว่าป๋อเหรินไม่เคยช่วยตน หวังตุนจึงประหารป๋อเหริน เมื่อรู้ความจริงภายหลังหวังเต่าจึงพูดประโยคนี้ด้วยความเสียใจ
* หยกดิบ คือหยกที่ยังไม่ได้เจียระไน อุปมาถึงคนที่เนื้อแท้แล้วมีความสามารถ แต่ยังไม่มีผู้ใดค้นพบ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.