ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 238-240
บทที่ 240 คนประเสริฐเพราะรู้ตน
หากจะพูดกันโดยละเอียดก็ต้องบอกว่าหลังฮ่องเต้หยวนจยาเสด็จขึ้นครองราชย์ ทั่วทั้งซานตงก็มีแต่การลดบรรดาศักดิ์ ไม่มีการแต่งตั้งขุนนางบรรดาศักดิ์ใหม่อันใดอีก คงด้วยเพราะกบฏคังอ๋องที่เกิดขึ้นในเวลานั้นทำให้ที่นี่ได้รับผลกระทบหนัก จนถึงยามนี้ก็ยังไม่อาจฟื้นคืนดังเดิม
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดคะเนของเฉินอิ๋งเพียงผู้เดียวเท่านั้น
จวนจงหย่งป๋อมีลานเรือนสามชั้น นั่นก็ด้วยเพราะตำแหน่งขุนนางของจงหย่งป๋อนั้นหาได้สูงไม่ เป็นเพียงรองนายกองพันลำดับรองขั้นห้า เรือนพำนักที่มีลานสามชั้นนี้ได้มาก็เพราะบรรดาศักดิ์ของเขาเท่านั้น
ตอนบรรดาสตรีทั้งหลายลงจากรถม้า ว่านซื่อฮูหยินของจงหย่งป๋อก็ออกมายืนรอต้อนรับอยู่ที่ข้างประตูแล้ว อวี๋ซื่อฮูหยินซื่อจื่อมีลูกสะใภ้วัยกำดัดสองนางคอยยืนเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ และยังมีคุณหนูจวนป๋อของพวกนางอีกสองคนยืนอยู่ท้ายสุด
จงหย่งป๋อมีบุตรชายอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามคน บุตรชายคนโตหลูจวิ้น ได้รับการแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อก่อนหน้านี้นานแล้ว บุตรชายคนรองหลูโฉวเป็นหนอนหนังสือ สอบผ่านการคัดเลือกระดับมณฑลได้ขึ้นเป็นจวี่เหริน ถึงแม้จะพลาดในการสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวง แต่ก็ยังได้เป็นเสมียนอยู่ที่เมืองเว่ยฮุยมณฑลเหอหนาน เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นขั้นแปด เท้าครึ่งหนึ่งเรียกได้ว่าเหยียบอยู่บนวิถีชีวิตขุนนางแล้ว ส่วนบุตรชายคนที่สามหลูเหริน ไม่เอาไหนที่สุด เป็นก็แค่เจ้าหน้าที่ระดับล่างในกองทัพเท่านั้น
ยามนี้สตรีสองนางที่ตามอยู่หลังว่านซื่อได้แก่คุณหนูรองหลูหว่านอิน ธิดาคนโตของบ้านรอง กับคุณหนูหกหลูหว่านหนิง ธิดาคนโตของบ้านสาม ส่วนสะใภ้วัยกำดัดสองนางนั้นกลับเป็นลูกสะใภ้ของอวี๋ซื่อฮูหยินของซื่อจื่อ คนหนึ่งแซ่เฉียนอีกคนแซ่หวง ล้วนเป็นธิดาของขุนนางจี่หนาน
นอกจากพวกนางแล้ว ฮูหยินรองกับฮูหยินสามล้วนมิได้โผล่หน้ามา คาดว่าคงนำพาสตรีคนอื่นๆ เข้าไปด้านในแล้ว
“ในที่สุดหนีซื่อก็มาถึงแล้ว ข้าใจจดใจจ่อรอคอยอยู่ทีเดียว” ทันทีที่เห็นหนีซื่อ ว่านซื่อก็รีบเดินขึ้นหน้ากล่าว ขณะเอ่ยปากนางก็ตรงเข้าไปคล้องแขนหนีซื่ออย่างสนิทสนม สายตากวาดมองไปทางพวกเฉินอิ๋ง ยิ้มราวลมวสันต์ระผ่านใบหน้า “นับเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก ข้ายังกลัวว่าทางสำนักศึกษาจะไม่อนุญาต ทำให้งานเลี้ยงมีแต่พวกเราเหล่าผู้อาวุโส หากเป็นเช่นนั้นจริงคงแย่แน่ นึกไม่ถึงว่ายามนี้กลับไม่ต้องกังวลแล้ว เหมือนอย่างคำที่ว่าลมวสันต์เพิ่งมาถึงไม่ทันไร มวลผกาก็พร้อมใจกันผลิบานแล้ว”
คำพูดนี้ของนางเรียกเสียงหัวเราะได้ไม่น้อย
หนีซื่อชอบอกชอบใจยิ่งนัก ถ้อยวาจางดงามของว่านซื่อถูกใจนางมาก ใบหน้าของหนีซื่อยามนี้แขวนประดับไว้ซึ่งรอยยิ้ม นางกล่าวขึ้นว่า “หลูฮูหยินยกย่องพวกนางเกินไปแล้ว ข้าว่าคุณหนูทั้งสองของท่านต่างหากถึงจะเรียกว่าเสมือนบุปผาประหนึ่งหยก ช่างงดงามยิ่งนัก”
ที่หนีซื่อกล่าวก็แค่วาจาถ่อมตนเท่านั้น ทุกคนพบหน้ากันย่อมต้องเยินยอสรรเสริญเด็กรุ่นหลังของอีกฝ่าย นี่เป็นธรรมเนียมที่มีมาแต่ไหนแต่ไร
ว่านซื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกล่าว “ช่างเถอะๆ จะยกยอปอปั้นอันใดก็เอาไว้อีกสักครู่เถิด ตอนนี้ตามข้าเข้าไปนั่งข้างในก่อนดีกว่า” นางนำพาทุกคนเข้าไปยังโถงบุปผา* พลางพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกัน
โถงบุปผานั้นกว้างขวางมิใช่น้อย ทว่าคนที่อยู่ด้านในกลับมีกันไม่มาก กว่าครึ่งล้วนเป็นฮูหยินและนายหญิงสูงวัย พวกเด็กสาวต่างออกไปเที่ยวชมทัศนียภาพรอบๆ อยู่ก่อนนานแล้ว
หลังนั่งลงกันเป็นที่เรียบร้อย โอภาปราศรัยกันพอเป็นพิธีสองสามประโยค เหล่าผู้น้อยก็กล่าวคารวะผู้อาวุโส หลังผู้อาวุโสมอบของขวัญแรกพบให้เสร็จ ขั้นตอนทั้งหลายก็ถือเป็นอันสิ้นสุด คุณหนูสกุลหลูทั้งสองลุกขึ้น เชิญชวนพวกเฉินอิ๋ง ‘ไปชมสวนดอกไม้’
ขณะที่พวกนางทั้งสองเอ่ยปากเชื้อเชิญ เฉินอิ๋งก็สังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอวี๋ซื่อคล้ายจางลงเล็กน้อย ทุกครั้งที่สายตากวาดมองไปยังหลานสาวทั้งสอง แววตาของนางก็ยิ่งคล้ายเหม่อลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ถึงจะรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กๆ แต่เฉินอิ๋งก็หาได้สนใจอันใดมากมายไม่
เรื่องราวภายในลานเรือนซับซ้อนหยุมหยิม อวี๋ซื่อเป็นถึงสะใภ้ใหญ่บ้านใหญ่ ส่วนคุณหนูทั้งสองกลับเป็นคนของบ้านรองและบ้านสาม ดูท่าระหว่างบ้านแต่ละหลังจะมีเรื่องราวที่ไม่อาจบอกกล่าวให้ผู้ใดรับรู้ได้บางอย่าง
เฉินอิ๋งคิดพลางลุกขึ้นตามคนอื่นๆ หลังกล่าวอำลาเหล่าผู้อาวุโส พวกนางก็เดินตามระเบียงประสานที่อยู่ด้านนอกตรงไปยังสวนดอกไม้
สวนดอกไม้จวนจงหย่งป๋อกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ทว่ายามนี้เพิ่งต้นฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ในสวนจึงมีอยู่เพียงบางตา ทัศนียภาพแลดูจืดชืดอยู่เล็กน้อย โชคดีที่ในสวนมี ‘สวนต้นเหมย’ อยู่ ยามนี้กำลังผลิดอกพอดี บานสะพรั่งงดงามเป็นที่สุด บรรดาคุณหนูทั้งหลายต่างเที่ยวเล่นกันอยู่ที่นี่ นอกจากนี้จวนป๋อยังใส่ใจจัดเตรียมหมึกพู่กัน ขว้างธนูลงคนโท* พิณขลุ่ย และอื่นๆ ไว้ให้บรรดาสตรีที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์สุนทรีย์เหล่านั้นสามารถเขียนบทกวีดีดพิณหรือเล่นสนุกอยู่ใต้ต้นเหมย เฉิดฉายงดงามยิ่ง
หลูหว่านอินสองพี่น้องพยายามอย่างสุดความสามารถในการเอาใจใส่คอยอยู่เป็นเพื่อนไม่ห่าง หลังจากเดินอยู่รอบหนึ่ง จู่ๆ เฉินอิ๋งก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมาเลาๆ นางอดอุทานแย่แล้วในใจไม่ได้
ระดูของนางมาแล้ว ยามนี้นางคุ้นเคยกับความเจ็บปวดเช่นนี้ดี ครั้นนับวันดู วันนี้เกรงว่าญาติผู้นี้ของนางกำลังจะมาเยี่ยมเยือนอีกคราแล้ว
นางไม่อยากทำให้คนอื่นแตกตื่นจึงลอบพาสวินเจินกับจือสือถอยห่างออกมา และถามหาเส้นทางเอากับสาวใช้ตัวน้อยนางหนึ่ง ก่อนจะตรงดิ่งไปยังห้องสุขา
โชคดีที่ห้องสุขาอยู่ไม่ไกลนัก เลี้ยวไปตามระเบียงวนไม่กี่ครั้งก็ถึง หลัวมามาเตรียมของต้องใช้อยู่ก่อนล่วงหน้าแล้ว หากรอจนพบว่าใช่เรื่องระดูจริงๆ เฉินอิ๋งคงรับมืออันใดไม่ทันแล้ว
หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ ในที่สุดเฉินอิ๋งก็จัดการกับปัญหาได้เป็นที่เรียบร้อย แต่แล้วจู่ๆ นางก็นึกเกียจคร้าน ไม่อยากตรงไปร่วมชุมนุมที่สวนดอกเหมยนั่นอีก
ผู้อื่นเที่ยวเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ แต่นางกลับไม่สะดวก ‘ผ้าอนามัย’ สมัยโบราณแต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยคุ้นชินได้สักที ดังนั้นเดินให้น้อยนั่งให้มากย่อมเป็นการดีกว่า
บังเอิญบริเวณจุดอับลมนั้นมีเรือนริมน้ำตั้งอยู่หลังหนึ่ง สร้างคร่อมธารน้ำเล็กๆ งามวิจิตรสอดรับกับพื้นที่โดยรอบ ทั้งสี่ด้านล้วนแต่เป็นบานหน้าต่างซึ่งสามารถเปิดออกได้ ทางฝั่งตะวันออกอยู่ตรงกันข้ามกับสวนเหมยพอดี เงาร่างในอาภรณ์แดงบ้างเขียวบ้างในป่าเหล่านั้นยามนี้กลับกลายเป็นทัศนียภาพในสายตาของเฉินอิ๋ง
“พวกเราพักอยู่ที่นี่กันสักครู่เถอะ ไว้งานเลี้ยงเริ่มแล้วค่อยเข้าไป” เฉินอิ๋งตัดสินใจเช่นนี้
สวินเจินกับจือสือไม่มีความคิดเห็นอื่น ทำเพียงหยิบเอาเบาะรองนั่งที่พกติดตัววางลงบนเก้าอี้ไม้ เฉินอิ๋งนั่งลง สวินเจินเดินขึ้นหน้าไปปิดหน้าต่างทั้งสี่ด้านด้วยกังวลว่าเฉินอิ๋งจะป่วยเพราะต้องลม
เพิ่งนั่งได้เพียงครู่เดียว เสียงฝีเท้าคนก็ดังลอยมาจากทางระเบียง จากเสียงที่ได้ยินน่าจะกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังห้องสุขา
เดิมเฉินอิ๋งก็ไม่ได้นึกอยากสอดรู้สอดเห็นอันใด จนปัญญาก็แต่เสียงพูดของอีกฝ่ายกลับลอยตามลมเข้ามาในเรือนริมน้ำแห่งนี้
“เหตุใดท่านถึงตามมาด้วยเล่า” น้ำเสียงใสกระจ่างของดรุณีน้อยนางหนึ่งดังลอยเข้ามาภายใน แม้จะเลือนรางอยู่บ้างแต่ก็ฟังดูอ่อนหวานเป็นพิเศษ
เฉินอิ๋งฟังออกได้ทันที นั่นเป็นเสียงคุณหนูหกจวนจงหย่งป๋อหลูหว่านหนิง
“กระโปรงเปื้อนแล้ว” หลูหว่านอินตอบน้ำเสียงเย็นยะเยือกออกมาสี่คำ
หลูหว่านหนิงกลับหัวเราะคิกคัก ตามติดด้วยเสียงอาภรณ์ขยับไหวสวบสาบคล้ายนางกำลังพลิกดูกระโปรงของหลูหว่านอิน เพราะฝ่ายหลังกลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบยิ่งกว่าเก่า “น้องหกคิดเลียนแบบคนในอดีตช่วยขจัดคราบสกปรกให้ผู้อาวุโสกระนั้นหรือ”
เสียงของนางสยบเสียงสวบสาบนั่นได้จริงๆ แต่เพียงไม่นานหลูหว่านหนิงก็ยิ้มหวาน “ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น พี่รองจริงจังเช่นนี้ไม่สนุกเลยสักนิด”
หลูหว่านอินไม่พูดไม่จา
ทว่าความเงียบของนางกลับกระตุ้นให้หลูหว่านหนิงยิ่งนึกอยากพูด ไม่นานนักเสียงของนางก็ดังขึ้นอีกคราว “บอกข้ามาตามตรงเถอะพี่รอง ท่านเองก็มาหลบหาความสงบเช่นกันใช่หรือไม่”
หลูหว่านอินยังคงไม่ตอบอันใด
ขณะที่เฉินอิ๋งคิดว่าหลูหว่านอินจะยังคงนิ่งเงียบต่อไป นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ นางจะเอ่ยปาก ยังคงเป็นคำพูดเรียบง่ายสั้นๆ ไม่กี่คำ “คนประเสริฐเพราะรู้ตน”
* จิงเจ๋อ (แมลงตื่น) ตรงกับวันที่ 5-7 มีนาคม อากาศอุ่นขึ้น แมลงหรือสัตว์ที่จำศีลอยู่จะเริ่มตื่นขึ้นเพื่อจะออกมาหาอาหาร
* โถงบุปผา หมายถึงโถงรับแขกนอกเหนือจากโถงใหญ่ โดยมากจะอยู่ที่เรือนสองข้างเรือนใหญ่หรือในสวนดอกไม้
* ขว้างธนูลงคนโท เป็นการละเล่นของจีนโบราณ วิธีเล่นคือขว้างลูกธนูให้เสียบลงไปในคนโท ตัดสินผลแพ้ชนะตามจำนวนลูกธนูที่ขว้างลงคนโท
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนมีนาคม 66)